เท็ด เมเยอร์
มื่อท่านกิตติศักด์โทรมาบอกว่า หลวงพี่สุทัศน์มรณภาพเมื่อวันก่อน ผมมีความรู้สึกว่า ได้เสียเพื่อนสนิทไป ซึ่งความรู้สึกนี้ออกจะดูแปลกสักเล็กน้อย เพราะว่าในช่วงเวลาหกปีที่รู้จักกัน ไม่ค่อยได้พูดคุยกันหรือเจอกันสักเท่าไร โดยเฉลี่ยอาจจะเป็นปีละครั้งที่เราพบกันหรือ พูดคุยกัน แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าท่านเป็นเพื่อนสนิท
คิดไปคิดมาก็จำคำพูดของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นครูที่รักได้ คือตอนที่พ่อของผมเสียชีวิต ครูคนนี้ บอกผมว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับเท็ด ยังคงไม่สิ้นสุดหรอกนะ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วก็ตาม ชีวิตของพ่อ ยังคงมีความหมายพิเศษ มีคุณค่าพิเศษสำหรับเท็ดเสมอ ในฐานะที่ เท็ดเป็นลูก เท็ดรู้ดี แต่เท็ดอาจจะไม่รู้ว่า มันเหมือนกับว่าในชีวิตของพ่อและในความสัมพันธ์กับพ่อนั้น มีข้อความที่แฝงอยู่ แต่ตอนนี้เท็ดมองเห็นได้ไม่หมด อ่านข้อความนั้นได้ไม่ครบ ต้องใช้เวลา เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเท็ดกับพ่อจะยังคงพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขา จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม
เมื่อคิดในแง่นี้ ความรู้สึกที่ว่าหลวงพี่สุทัศน์เป็นเพื่อนสนิท จึงเป็นสิ่งแรกที่เข้ามาถึงใจของผมเมื่อท่านมรณภาพ จากการทบทวนความสัมพันธ์ที่มีกับท่าน ก็เห็นได้ว่าเบื้องหลังที่ทำให้ผมรู้สึกเช่นนี้น่าจะมีสาเหตุหลายประการ ที่พอจะอธิบายได้ดังต่อไปนี้
จุดแรกๆ ก็คือหลวงพี่สุทัศน์เห็นว่าผม เป็นเพื่อนก่อน ให้เกียรติผม แล้วเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อเราพบกันครั้งแรกในที่ประชุมเกี่ยวกับพระและวัดป่าที่กาญจนบุรี เมื่อปี ๒๕๔๑ มีช่วงหนึ่งที่ทุกคนมีโอกาสที่จะออกไปเดินป่า แล้วเราก็เริ่มคุยกันในขณะที่เดินเข้าไปในป่า ความนุ่มนวลของท่าน ทำให้เราคุยกันได้ง่าย และยังมีอีกลักษณะหนึ่งของท่าน ซึ่งคนไทยอาจจะเรียกว่า ธรรมดา คำนี้ผมยังอธิบายไม่ถูก แต่ถ้ามีใครอยากรู้ว่าคำนี้หมายความว่าอย่างไร เราก็จะให้มองท่านสุทัศน์เป็นตัวอย่าง
เมื่อเราไปถึงจุดหนึ่งซึ่งอยู่กลางป่า ผมจึงขอถาม ถึงชีวิตและงานของท่านโดยได้บันทึกเสียงของท่านลงในเทปไปด้วย พอได้คุย กับท่าน ผมก็เริ่มเข้าใจโลกของท่านที่แม่แจ่ม และได้รู้ว่า เมื่อเพื่อนๆ ทุกคนสึกไปแล้วแต่ท่านตัดสินใจว่าจะไม่สึก เพราะชอบความเป็นอิสระของชีวิตที่เป็นพระ รวมทั้งความเป็นอิสระที่จะได้ทำงาน เพื่อส่วนรวม โดยที่ไม่มีใครแปลกใจหรือคัดค้าน ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านได้สร้างโรงเรียนเพื่อที่จะช่วยให้ เด็กแม่แจ่มทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้มีโอกาส เรียนต่อ นอกจากนี้ท่านยังพูดถึงงานรักษาป่าระดับตำบลและอำเภอ และได้เล่าถึงการเปิดห้องสมุดสำหรับเด็กนักเรียน
เมื่อถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตความเป็นพระของท่าน ท่านพูดอย่างเปิดใจว่า ก็จะมีเรื่องการปฎิบัติธรรมทางจิต เพราะว่าที่นั่นไม่มีครูบาอาจารย์สอน รู้สึกว่าการเจริญธรรมะของตัวเองไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร แต่ก็พอมีที่จะเลี้ยงตัวได้ จิตใจพอสงบอยู่บ้าง ผมรู้สึกประทับใจที่ท่านพร้อมที่จะพูดถึงเรื่องนี้กับนักวิจัยที่เพิ่งรู้จักกัน โดยไม่พยายามที่จะสร้างภาพของพระในอุดมคติ
เมื่อเสร็จจากการประชุมครั้งนั้น เรานั่งคุยกันตลอดทางในรถตู้ที่เดินทางกลับกรุงเทพฯ ท่านถามถึงครอบครัวในสหรัฐอเมริกาว่า พ่อแม่มีความสัมพันธ์อย่างไรกับลูก เด็กเยาวชนชอบทำอะไรบ้างและต้องเผชิญหน้ากับปัญหาอะไรบ้าง แล้วท่านได้ตั้งใจฟังโดยตลอด ตอนนั้นผมรู้สึกว่าท่านมีความจริงใจมากในความพยายามที่จะเข้าใจปัญหาของสังคม โดยเฉพาะเรื่องของเยาวชน และยังมีความจริงจังในการหาทางแก้ไข ปัญหาที่ท่านเจอที่แม่แจ่ม
หลังจากนั้นมา เราพบกันส่วนใหญ่ก็ต่อเมื่อมีการประชุมใหญ่ของกลุ่มพระเสขิยธรรม หรือบางครั้งใน การประชุมของคณะกรรมการของเสขิยธรรม ที่ผมประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ในที่ประชุมท่านไม่ค่อยได้พูดอะไรมากนัก ท่านจะฟังและมีส่วนร่วมแบบสบายๆ แต่เมื่อท่านพูด จะมีสาระ และคำพูดของท่านสะท้อนให้เห็นว่าท่านสนใจที่จะวิเคราะห์และเข้าใจเรื่องการเมือง และเรื่องโครงสร้างสังคม ท่านจะรู้สึกว่าพระก็มีบทบาททางด้านนี้ด้วย ท่านบอกเราว่ากลุ่มพระเสขิยธรรมมีคุณค่าตรงนี้คือ สร้างความเป็นมิตรระหว่างนักบวชที่ทำงานด้านสังคม ให้มีเพื่อนคุย และเปิดโอกาสให้ท่านเรียนรู้จากตัวอย่างที่ดี ได้อีกหลายท่าน
ผมในฐานะที่เป็นนักวิจัยคนอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับชาวพุทธไทยที่เป็นห่วงสังคมไทยและสังคมโลกว่า เรากำลังรีบไปไหนโดยสร้างความเจ็บปวดให้กันและกัน ผมก็ได้แรงบันดาลใจเยอะมากจากการคลุกคลีและรู้จักคนกลุ่มนี้ ซึ่งเป็นแวดวงชาวพุทธที่หาทาง ที่จะทำให้คุณค่าดั้งเดิมของพุทธศาสนา จิตใจที่สงบ ความรู้แจ้ง ความเมตตากรุณา ปรากฏขึ้น อย่างชัดเจนท่ามกลางสังคมสมัยใหม่ หลวงพี่สุทัศน์ก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น โดยที่ผมไม่รู้ตัว งาน แนวความคิด บุคลิกที่ซื่อสัตย์และมีน้ำใจของท่าน กลายเป็นเสาหลักเสาหนึ่งในอาคารที่ผมสร้างเงียบๆ ในใจ เพื่อที่จะเก็บและรักษาความหวังสำหรับโลก เพื่อนๆ ครอบครัวและตัวเอง ให้ได้อยู่เป็นสุขในสังคมโลกที่มีสันติภาพ โดยไม่รู้ตัวผมเริ่มพึ่งพาท่าน ชุมชนของท่าน และแม่แจ่มของท่าน คือแม่แจ่มที่ท่านช่วยให้เป็นแม่แจ่มของทุกวันนี้ จนลึกๆ ในใจ คาดหวังว่าจะต้องมีท่านอยู่ที่นั่นเสมอ
วันนี้เมื่อท่านไม่อยู่แล้ว เราก็คงต้องทำใจให้ได้ แต่บทเรียนและข้อความที่แฝงอยู่ในชีวิตและ ความเป็นเพื่อนของหลวงพี่สุทัศน์ จะไม่หยุดอยู่ที่ตรงนี้ แต่ได้แปรสภาพไปเป็นแนวความคิดและ วิถีชีวิตของเราที่ได้ เปลี่ยนไปแล้ว และจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าเคยได้รู้จักท่าน..