อาภาวดี งามขำ
ผู้ประสานงานกลุ่มเสขิยธรรม
๗ ตุลาคม ๒๕๔๗
ลุ่มเสขิยธรรมมีแผนงานจัดทำ โครงการสารคดีพระดี เพื่อเผยแพร่ชีวิตและผลงานของพระสงฆ์ที่ทำงานสังคม ควบคู่ไปกับงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในชุมชน ให้เป็นที่รับรู้ในสังคมวงกว้าง โดยดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว
พระใบฎีกาสุทัศน์ วชิราโณ เจ้าอาวาสวัดป่าแดด ตำบลท่าผา อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ก็เป็นพระอีกรูปหนึ่งที่ทางคณะกรรมการคัดเลือกให้อยู่ในโครงการดังกล่าว
เย็นวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗ คณะของเราเดินทางจากกรุงเทพ เพื่อไปสมทบกับทีมงานที่เชียงใหม่ ก่อนร่วมเดินทางไปอำเภอแม่แจ่ม เพื่อถ่ายทำวิดีโอ บันทึกภาพ และสัมภาษณ์ประวัติชีวิตและผลงานของหลวงพี่สุทัศน์ที่วัดป่าแดด
ประมาณสามโมงเย็นของวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ พวกเราถึงวัดป่าแดด หลังจาก ๒๐ นาทีผ่านไป หลวงพี่สุทัศน์ก็กลับมาจากรับกิจนิมนต์และร่วมประชุมกับองค์กรในท้องถิ่น
หลวงพี่ทักทายพวกเราด้วยรอยยิ้ม และนั่งพูดคุยกันที่หน้ากุฏิซึ่งมีสระน้ำกั้นระหว่างโบสถ์ และถามว่า พวกเราอยากจะไปเที่ยวไหนกันบ้าง จะได้พาไป แต่เพราะค่อนข้างเหนื่อยจากการเดินทางจึงไม่มีใครออกไป
ประมาณ ๔ โมงเย็นหลวงพี่พาพวกเราไปเยี่ยมโรงเรียนวัดป่าแดด โรงเรียนประถมที่หลวงพี่เคยเรียน ชี้ให้ดูว่าเมื่อก่อนตรงไหนเป็นอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมบ้านโยม ไปนั่งพูดคุยกับโยมป้า ที่เลี้ยงดูหลวงพี่ตอนเด็กๆ มีโอกาสถ่ายรูป หลวงพี่กับโยมป้าที่บ้านหลังนั้นด้วย
เช้าวันที่ ๒ หลังจากหลวงพี่เสร็จภารกิจการสอนนักเรียนสามเณร ประมาณ ๑๐ โมงเช้า พวกเราช่วยกันหามุมเพื่อจะได้เริ่มสัมภาษณ์ และถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ระหว่างการพูดคุยเรื่องราวต่างๆ หลวงพี่ไม่มีวี่แววของคนป่วย ยังร่าเริงแจ่มใสเช่นเคย ช่วงเช้าจบลงที่เวลาฉันเพล เริ่มช่วงบ่ายตอนบ่ายสองครึ่ง จนถึง สี่โมงเย็น กลางคืนเริ่มกันอีกทีช่วง ๒ ทุ่มครึ่ง ถึง ๓ ทุ่มครึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน
เช้าวันที่ ๓ ดิฉันตื่นเพื่อถ่ายรูปพระภิกษุ สามเณร ออกบิณฑบาตรในหมู่บ้าน ประมาณ ๗ โมงเช้าหลวงพี่กลับจากกิจนิมนต์ข้างนอก ถือหนุมาณประสานกายมากำมือหนึ่ง ดิฉันถามว่าจะเอามาทำอะไร ท่านบอกว่า ท่าทางจะเป็นไข้ โยมให้มา จะลองฉันดู เขาบอกว่าช่วยขับพิษ ดิฉันถามว่าหลวงพี่เคยฉันฟ้าทะลายโจรหรือเปล่า เพราะเห็นคนส่วนใหญ่นิยมทานดับพิษไข้ แต่ตัวดิฉันเองไม่ถูกกับฟ้าทะลายโจร ถ้ามีอาการไข้ต้องทานรางจืด เราคุยกันว่าร่างกายของคนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเหมาะกับอีกอย่างในขณะที่อีกคนเหมาะกับอีกอย่าง
เช้าวันนี้หลวงพี่ไม่ได้ฉันอาหารในวัด เราเลยนั่งดูภาพถ่ายในมุมต่างๆ ที่ดิฉันได้ถ่ายเก็บไว้ร่วม ๓๐๐ ภาพ ดิฉันเองอยู่ในฐานะช่างภาพจำเป็น ไม่มีฝีมือในการถ่ายภาพแต่อย่างใด แต่รูปที่ถ่ายมาทั้งหมดเสียไม่ถึง ๑๐ ภาพ ที่เหลือออกมาดูดีทุกภาพ ยังแซวหลวงพี่ว่า น้อยถ่ายรูปหลวงพี่ออกมาดูดีทั้งนั้น ไม่เคยถ่ายภาพใครได้แบบนี้เลยนะ หลวงพี่ยังพูดล้อกลับมาว่า คนมันดูดีถ่ายยังไงก็ดูดี แล้วหัวเราะกัน ท่านยังขอให้ดิฉันช่วย COPY ภาพทั้งหมดไว้ในคอมพิวเตอร์ของท่านด้วย
ไม่มีใครคาดคิด..ว่า ในบรรดาภาพถ่ายเหล่านั้น.. สองวันต่อมา บางภาพจะได้มีโอกาสไปวางอยู่หน้าร่างอันสงบ..
ไม่มีใครคาดคิด..ว่า สามวันที่พวกเราอยู่ด้วยกัน จะเป็นสามวันแห่งการย้อนรอยรำลึกอดีตครั้งสุดท้ายของหลวงพี่เอง...
ระมาณ ๙ โมงเช้า เราขึ้นไปพูดคุยกันต่อในโบสถ์ ดิฉันเก็บรูปของท่านในมุมต่างๆ ไว้ได้ประมาณ ๓๐ ภาพ แล้วรีบลงมาจัดกระเป๋าเตรียมตัวกลับเชียงใหม่ เที่ยงกว่าๆ พวกเราลากันตรงหน้าโรงเรียนปริยัติธรรม หลวงพี่กิตติศักดิ์บอกท่านว่าเมื่อถอดเทปเสร็จแล้ว จะส่งมาให้ท่านตรวจอีกครั้ง และถ้าเห็นว่าประเด็นอะไรยังไม่ครบ ในช่วงปลายเดือนธันวาคม จะมาสัมภาษณ์อีก ดิฉันรีบแทรกขึ้นว่า ไม่ต้องรอถึงเดือนธันวาคมหรอก ออกพรรษาจะมีการประชุมคณะกรรมการกลุ่มเสขิยธรรม ไว้คุยกันตอนนั้นก็ได้
ไม่มีใครคาดคิด การจากลา และคำอวยพรจากปากของหลวงพี่ที่กล่าวว่า โชคดี ขอให้เดินทางปลอดภัย จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้ยิน ระหว่างทางยังคุยกันว่ามาเที่ยวหน้าจะต้องหาเวลาเยอะๆ จะได้แวะถ่ายรูปข้างทางบ้าง
ไม่มีสัญญาณใดๆ บอกเหตุล่วงหน้า ว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก นอกจากอาการไข้และอ่อนเพลียเล็กน้อยที่ดิฉันพอจะสังเกตเห็น
ายสองของวันที่ ๔ ดิฉันกำลังจะเริ่มต้นเขียนต้นฉบับ อยู่ที่ออฟฟิศโครงการอบรมผู้นำชุมชน อ.ฝาง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พี่น้อยอยู่ไหนจะไปแม่แจ่มไหมคะ? ดิฉันถามกลับว่า ไม่ทราบใครพูดคะ? ปลายสายบอกว่า แจ่มค่ะ พี่น้อยจะไปแม่แจ่มมั้ย? ดิฉันรู้สึกกระตุกในใจ ถามกลับไปว่ามีอะไร น้องเขาจึงบอกว่า หลวงอาเสียแล้ว แม่โทรมาบอกเมื่อกี้ ดิฉันยังฝืนใจถามออกไปว่า หลวงพี่สุทัศน์เหรอ เป็นอะไร เมื่อไหร่ น้องเขาบอกว่าหนูก็ไม่รู้แม่โทรมา พี่น้อยจะไปมั๊ย?
แจ่ม เป็นหลานสาวของหลวงพี่สุทัศน์และ เธอเดินทางออกจากแม่แจ่มพร้อมกับพวกเรา เพื่อเข้ามาทำธุระในเมืองเชียงใหม่
ดิฉันตะลึงงัน ไม่อาจเชื่อได้ บอกตัวเองว่าหูฝาดแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ จนต้องถามซ้ำกลับไป แต่น้องก็ยืนยันเหมือนเดิม พยายามตั้งสติบอกน้องไปว่า พี่จะโทรกลับอีกที รีบออกจากออฟฟิศ ไปตามหลวงพี่กิตติศักดิ์ หลวงพี่สุพจน์ หลวงพี่มหาเชิดชัย และหลวงพี่มหาประญัติ ก่อนจะพบว่าไม่มีใครเชื่อดิฉัน ทุกคนบอกว่าดิฉันฟังผิดไปหรือเปล่า ดิฉันเองอยากให้เป็นการฟังผิดที่สุดในโลก ไม่อยากให้สิ่งที่ได้ยินมาเป็นความจริงเลย
แต่ในที่สุดเมื่อเช็คข่าวแน่นอนแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจเดินทางกลับไปแม่แจ่มในวันนั้น ตลอดการเดินทางแต่ละคนพยายามชวนคุยกันเรื่องโน่นเรื่องนี้ แล้วสุดท้ายก็ต้องวกกลับมาเรื่องการมรณภาพของหลวงพี่สุทัศน์อยู่ร่ำไป
ผ่านมาดิฉันเพียรบอกตัวเองอยู่เสมอว่า ความตาย เป็นสิ่งใกล้ตัว วันหนึ่งก็จะมาถึงตัวเรา และบุคคลที่เรารัก ไม่มีใครหลีกหนีมันไปได้ จงอย่าประมาท
ดิฉันเผชิญกับ ความตาย ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนฝูง ญาติมิตร มาหลายต่อหลายครั้ง เสียใจ เศร้าโศก แถมบางครั้งยังโล่งใจที่เห็นว่า เขาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานด้วยความตาย ดิฉันยอมรับความตายที่ผ่านมาได้อย่างปล่อยวาง เพราะความตายไม่ได้มาเยี่ยมเยียนแบบจู่โจม กระทันหัน ดิฉันไม่เคยร้องไห้เพราะความตายของใครมาก่อน เพราะความตายมักค่อยๆ คืบคลานมาช้าๆ มาแบบมีเหตุมีปัจจัยให้มันเป็นไป
แต่เมื่อ ความตาย แวะมาทักทายแบบกระทันหัน รวดเร็ว ดิฉันไม่สามารถตั้งรับกับมันได้เลย ยังรู้สึกมึนงง สับสน ไม่ยอมรับกับการสูญเสียในครั้งนี้
ดิฉัน เสียน้ำตาให้กับ ความตาย เป็นครั้งแรก...
ลวงพี่สุทัศน์ เป็นกัลยาณมิตรรุ่นพี่ ที่ดิฉันรู้จักมานานหลายปี รู้สึกสนิทสนมและเคารพนับถือท่านโดยไม่ต้องเคลือบแคลงใจ ตลอดระยะเวลาที่ร่วมงานกันมา เมื่อเอ่ยปากปรึกษาหารือ หรือขอความช่วยเหลือในเรื่องใดๆ ก็ตาม หลวงพี่ไม่เคยปฏิเสธ ทุกครั้งที่ดิฉันมีโอกาสเดินทางไปแม่แจ่ม มั่นใจได้เลยว่ามีที่พัก มีข้าวกิน
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ช่วงสามวันที่ไปพักที่วัดป่าแดด ดิฉันท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ เมื่อหลวงพี่ทราบว่าดิฉันอ่อนเพลียมาก ท่านรีบไปชงยามาให้ดื่ม ไปบอกให้โยมทำข้าวต้ม ท่านไม่เคยละเลยคนที่ไปเยี่ยมหา ท่านทราบว่าดิฉันชอบผ้าพื้นเมือง เมื่อมีโอกาสท่านไม่เคยละเลยที่จะฝากมาให้
ตั้งแต่รู้จักกันมาดิฉันเจอแต่รอยยิ้ม ใจเย็น ไม่เคยเห็นท่านโมโหใคร มีแต่คอยไกล่เกลี่ย คอยชี้แนะ และทำงานเพื่อคนอื่น เพื่อเด็กๆ มาโดยตลอด
ในงานศพของท่าน มีพ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย และญาติโยมเต็มวัด ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เร็วเกินไป แต่ละคนยอมรับ ความตายได้ แต่ดูเหมือนหลายๆ คน ตั้งรับไม่ทันต่างหาก โยมพี่ชายและอีกหลายท่านทราบว่ากลุ่มของพวกเราเพิ่งกลับจากการสัมภาษณ์หลวงพี่ ถามดิฉันว่ามีอะไรเป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าหลวงพี่จะมรณภาพบ้างไหม? ดิฉันก็ได้แต่ยืนยันว่า ไม่มีเลย..
ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไร แต่สำหรับดิฉันนี่เป็นบทเรียนบทใหญ่ที่หลวงพี่สุทัศน์ทิ้งไว้เป็นการบ้าน ให้ต้องกลับมาคิด มาทบทวน มาฝึกฝนตัวเองในการดำเนินชีวิตอีกครั้ง เพราะถ้าเป็นการทดสอบบทเรียน ครั้งนี้ดิฉันไม่ใช่แค่สอบตก แต่ติดลบด้วยอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่ดิฉันพอรู้สึกเป็นสุขจากบทเรียนครั้งนี้บ้างก็คือ หลวงพี่ไม่ต้องทรมานจากการเปลี่ยนผ่านและการเดินทาง ท่านกลับจากกิจนิมนต์ประมาณตอนเที่ยง เมื่อหลวงพ่อของท่านเองไปเจอ พบท่านนอนหนุนแขนในท่าตะแคง ไม่มีรอยแผลหรือฟกช้ำที่ไหน คาดว่าท่านคงรู้สึกไม่สบายเลยนอนพัก และสิ้นลมไปอย่างไม่ทรมาน คนแก่คนเฒ่าแถวๆ บ้านเคยบอกว่าคนที่สิ้นลมในลักษณะนี้เป็นคนมีบุญ ดิฉันก็เชื่อเช่นกันว่าหลวงพี่สุทัศน์ท่านเป็นผู้มีบุญ
ในฐานะน้อง ในฐานะกัลยณามิตร และในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ขอคุณงามความดีที่หลวงพี่เพียรปฏิบัติมาตลอดชีวิตช่วยเป็นแสงส่องนำทางเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ไปสู่ภพภูมิที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
ดิฉันสัญญากับตัวเองว่าบทเรียนที่หลวงพี่ทิ้งไว้จะไม่สูญเปล่า ดิฉันจะหมั่นเพียรฝึกฝนไม่ให้ตั้งอยู่ในความประมาท จะพยายามดำเนินชีวิตอย่างมีสติตลอดไป
กราบนมัสการลา..ด้วยความเคารพ..