เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

หนังดัง "องคุลิมาล" เจอต้าน
บิดเบือนประวัติ-หลักธรรมพุทธ

คอลัมน์ สดจากหน้าพระ
นสพ.ข่าวสด วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๑๒ ฉบับที่ ๔๕๐๑ หน้า ๒๔

          หลังคำโฆษณาของภาพยนตร์เรื่อง "องคุลิมาล" ในประโยคที่ว่า "๑ คมดาบ ฆาต ๑,๐๐๐ ชีพ เพียงเพื่อบรรลุสู่ธรรมแห่งนิพพาน และดับทุกข์ด้วยการฆ่าสู่ศาสดาฆาตกร" กลายเป็นประเด็นร้อนที่ผู้กำกับดัง "อังเคิล" อดิเรก วัฏลีลา ฟิล์มบางกอก ต้องรีบชี้แจงเป็นพัลวัน

          ส่วนจะลงเอยอย่างไรก็ต้องรอลุ้นกันอีกเฮือกหนึ่ง

          เรื่องเกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๘มี.ค. หลังจากเครือข่ายองค์กรพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ๒๑ องค์กร ร้องเรียนคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์ และเตรียมยื่นฟ้องศาลให้เปลี่ยนเรื่องเสียใหม่ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่าล่วงละเมิดประวัติศาสตร์และบิดเบือนหลักธรรมของพระพุทธศาสนา

          ทำเอาผู้สร้างร้อน ๆ หนาว ๆ เพราะได้ทุ่มทุนไปเกือบ ๗๐ ล้าน แถมใช้เวลางมหาข้อมูลอีก ๓ ปี หากไม่ออกฉายก็เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าฉายไปก็จะถูกฟ้องร้องเป็นคดีความอีก เรื่องก็บานปลาย ไม่จบ

          จะด้วยเจตนาจงใจ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้สร้างก็ตามที

          เรื่องนี้ต้องดูเค้าโครงผิดจากหลักฐานทางพุทธประวัติหรือไม่ มีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในบทภาพยนตร์ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือไม่ และฉากบางตอนที่ผู้สร้างจินตนาการและแสดงความคิดเห็น เช่น เรื่องการต่อสู้กับมาร จะทำให้เกิดความเชื่อที่ผิดหรือไม่

          ยิ่งไปกว่านี้ความรู้สึกพฤติกรรมและความเข้าใจของคนดูชาวพุทธ ๕๐ ล้านคนจะมีถึง ๑๐% หรือไม่ ที่แยกแยะออกเรื่องจริงเป็นอย่างไร

          เรื่องราวของพระองคุลิมาลถูกบรรจุเป็นตำราเรียนของนักธรรมและแบบเรียนในโรงเรียนไปแล้ว โดยอาศัยหลักฐานอ้างอิงในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถาเป็นหลัก และหนังที่กำลังจะออกฉายจะทำให้เกิดความสับสนแก่ภิกษุสามเณร เยาวชนและพุทธศาสนิกชนหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องการคำตอบ

          เรื่องราวของพระองคุลิมาลอรหันตเถระ หนึ่งในอสีติมหาสาวก มีหลักฐานปรากฏชัดในพระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา เช่น มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์,ขุททกนิกาย เถรคาถา, ขุททกนิกาย ธรรมบท ฯลฯ ระบุ (อย่างย่อ) ว่าท่านเกิดในพระนครสาวัตถี แคว้นโกศล บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อ คัคคะ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล มารดาเป็นพราหมณ์ชื่อ มันตานี มารดาคลอดบุตรในเวลากลางคืน อาวุธทั่วทั้งพระนครตลอดจนพระแสงของพระราชาสว่างโชติช่วง

          พราหมณ์จึงลุกออกแหงนดูดาวก็รู้ว่าบุตรเกิดโดยโจโรฤกษ์ จึงตั้งชื่อ "อหิงสกะ" (แปลว่าผู้ไม่เบียดเบียน) ต่อมาส่งให้ไปเรียนศิลปศาสตร์ที่ตักกศิลา อหิงสกะเป็นผู้มีความรู้มีความประพฤติดีเป็นที่พอใจของอาจารย์ จนเป็นคนโปรด ศิษย์อื่นๆก็ด้อยค่าคิดริษยา และหาทางยุอาจารย์ให้ทำลาย ยุเท่าไรก็ไม่ขึ้น จนนานวันเข้าจึงเชื่อด้วยคิดว่าศิษย์ทั้งหลายกล่าวด้วยความห่วงใย จึงคิดฆ่าอหิงสกะ

          แต่ถ้าฆ่าเองก็จะเสียชื่อครูฆ่าศิษย์ เกรงจะเสื่อมลาภ จึงออกอุบายว่ายังมีศิลปะวิชาขั้นสุดท้ายอยู่ แต่ต้องให้อหิงสกะฆ่าคนได้ 1 พันคน เป็นการบูชาครู เพื่อยืมมือผู้อื่นฆ่าอหิงสกะ ตอนแรกอหิงสกะหาได้เชื่อคำอาจารย์ไม่ ด้วยเหตุที่ว่าตนเองเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนจึงไม่ฆ่าคน เมื่อถูกอาจารย์รบเร้าหนักจึงจำใจ และเพื่อสะดวกในการนับจำนวนคนที่ฆ่า จึงตัดนิ้วมือคนมาร้อยเป็นพวงมาลัย จึงมีชื่อว่า"องคุลิมาล (ผู้มีพวงมาลัยนิ้วมือ)

          องคุลิมาลฆ่าคนในป่าจนไม่มีใครกล้าไปป่า เรื่องร้อนถึงพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ไปปราบโจรองคุลิมาล นางพราหมณีทราบเช่นนั้น ด้วยความห่วงใยลูกจึงเดินทางไปเพื่อช่วยเหลือ

          วันนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลก เห็นว่าองคุลิมาลหากออกบวชในสำนักพระองค์จะสำเร็จมรรคผลได้เพราะมีบุญญาธิการที่สั่งสมไว้ก่อน หากฆ่ามารดาเสียจะเป็นบาปหนัก ไม่มีใครช่วยได้ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปป่า องคุลิมาลเห็นจึงวิ่งไล่ตามหลังพระองค์ไปสุดกำลัง ก็ไม่อาจทันพระพุทธเจ้าที่เสด็จไปตามปกติได้ เพราะทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ องคุลิมาลก็อัศจรรย์ใจจึงหยุดและหมดแรงกล่าวว่า จงหยุดก่อนสมณะ พระพุทธองค์ตรัสว่า"เราหยุดแล้ว องคุลิมาลท่านเล่า จงหยุดเถิด"

          องคุลิมาลจึงทิ้งอาวุธหมอบกราบแทบพระบาทขอบวช พระพุทธองค์ประทานอุปสมบทให้แล้วพาไปเมืองสาวัตถี ระหว่างนั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกจากพระนครพร้อมด้วยนักรบผู้กล้าไปปราบองคุลิมาล จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อดูว่าพระองค์จะตรัสอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสว่านี่แหละองคุลิมาลบวชแล้ว พระราชาพร้อมเสนาอำมาตย์ต่างขวัญหนีดีฝ่อ จึงตรัสปลอบว่าไม่ต้องกลัว องคุลิมาลไม่มีภัยแก่ใคร

          หลังจากบวชแล้วพระองคุลิมาลก็ลำบากในเรื่องอาหารขบฉัน ไม่มีใครกล้าใส่บาตร จนวันหนึ่งได้ช่วยหญิงท้องแก่คนหนึ่งให้คลอดบุตรง่ายด้วยการกล่าวคำสัตย์ คนก็เริ่มเลื่อมใสและหายกลัว ต่อมาไม่นานท่านก็บำเพ็ญเพียรอย่างหนักจนบรรลุอรหัตตผล

          สำหรับเรื่องราวที่ฟิล์มบางกอกได้พล็อตออกมาเป็นคนละเรื่องกับที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อย่างไรก็ตาม ต้องฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย ด้วยเจตนาเป็นตัวแปรสำคัญ

          พระพยอม กัลยาโณ วัดสวนแก้ว กล่าวว่า เรื่องนี้ผู้สร้างนำการตลาดมาขาย และนำความเป็นศิลปินที่ใช้จินตนาการส่วนตัวผิดๆมาตีความบุคคลในศาสนาผิดๆ และละเลยต่อความจริง หากมีการอนุญาตให้ฉายโดยไม่ได้ดำเนินการแก้ไข องค์กรพุทธ ๒๑ องค์กรจะประท้วงต่อต้านอย่างหนัก และร้องขอความเป็นธรรมจากศาลให้ดำเนินคดีฟ้องผู้สร้างทั้งคดีแพ่งและญาญา กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคและกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา

          ด้านดร.สมบุณ ดวงสโมสร ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ก็แสดงความคิดเห็นว่า "หลังจากผมได้ดูหนังแล้ว มีหลายจุดค่อนข้างล่อแหลม อย่างแรกคือ เขาเขียนเรื่องเพิ่มเติมเข้าไป ความจริง อหิงสกะ เป็นเด็กที่เรียนเก่ง แต่ถูกกลุ่มเพื่อนๆ หลอกให้ไปฆ่าคน ๑ พันคนเพื่อที่จะบรรลุ แต่ในหนังเขาสร้างสถานการณ์ให้อหิงสกะไปเป็นโจร มันค่อนข้างผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฎก แต่ตรงนี้เราก็เข้าใจว่ามันเป็นหนัง แต่จุดที่สำคัญสุดคงเป็นเรื่องความรุนแรงในหนัง ฆ่ากันกระฉูดหวาดเสียว มันรุนแรงเกินไปถ้าจะให้เด็กหรือเยาวชนเข้าไปดูเอง บอกเลยว่าไม่เหมาะสม ถึงแม้ทุกคนจะเข้าใจว่ามันเป็นเทคนิคทางการแสดง แต่ถ้ามองกันตรงๆ มันสื่อให้เห็นความโหดร้าย ความป่าเถื่อน แต่ผมไม่ได้บอกว่าหนังไม่ดี เพียงแต่บางจุดไม่เหมาะสม ผมค่อนข้างห่วง ถ้าเด็กอยากดู ผมขอแนะนำว่าต้องให้ผู้ที่มีความรู้หรือมีพื้นฐานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเข้าไปดูด้วย เพื่อชี้แนะในจุดต่างๆ ให้เข้าใจ"

          "แต่สิ่งหนึ่งที่หนังทำออกมาแล้วผมชอบ คือการสะท้อนการทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และคำสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่นำมาสอดแทรกในหนังได้อย่างดี ส่วนเรื่องประชุมการเซ็นเซอร์หนังเรื่องนี้ ผมคงต้องเอาหนังสือเสนอเข้าไปที่คณะกรรมาธิการที่เขาจะประชุมกันก่อน แล้วคงเรียกทางผู้สร้างเข้าไปชี้แจง แต่สิ่งที่ผมอยากจะฝาก คืออยากให้คนที่เข้าไปดูใช้วิจารณญาณในการดูให้มากที่สุด"

          ส่วน "อังเคิล" อดิเรก วัฏลีลา ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ กล่าวว่าสำหรับเรื่องที่คณะกรรมาธิการจะเซ็นเซอร์หนังเรื่องนี้ยังไม่รู้รายละเอียดอะไร แต่มองว่าผมทำหนังเรื่องนี้ออกมาสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นคงจะปล่อยไปตามธรรมชาติ คิดว่าคนรอดูหนังเรื่องนี้กันค่อนข้างเยอะ ก่อนที่หนังเรื่องนี้จะออกฉาย คณะกรรมการเซ็นเซอร์เขาก็ได้เซ็นเซอร์แล้ว ถ้าหนังไม่ดีหรือรุนแรงจนเกินไปอย่างที่คณะกรรมาธิการบางท่านได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นั้น ตรงนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเมื่อคณะกรรมการเซ็นเซอร์เขาปล่อยผ่านออกมา เขาก็ต้องดูในเรื่องความเหมาะสมในเรื่องความรุนแรงอยู่แล้ว

          "ผมทำหนังเรื่องนี้ ผมไม่ได้บิดเบือนประวัติศาสตร์อะไรมากมาย ผมก็ยังทำตามหลักความดี ความถูกต้อง และอย่างวันที่ฉายในรอบสื่อมวลชน ผมคิดว่ามันคงเป็นตัววัดได้ว่าหนังของผมมีค่าขนาดไหน ถ้าหนังดี ก็ขอให้ชม ถ้าไม่ดีก็ด่าได้เลย ผมพร้อมที่จะรับฟัง

          ผมทำหนังเรื่องนี้ ผมไม่ได้ทำสารคดี ที่จะมาเล่าเรื่องรายละเอียดต่าง ๆ หนังอย่างไรมันก็ยังมีความเป็นหนังอยู่บ้าง

          สำหรับตอนนี้ ผมก็ถูกแบนคำพูดที่โฆษณาทางทีวีไปแล้ว ซึ่งตอนนี้ผมก็ได้ทำการแก้อยู่ ส่วนเรื่องการห้ามฉายหนังเรื่องนี้ ผมว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะหนังเรื่องนี้ ผมไม่ได้ทำอะไรที่ผิดเพี้ยนจนดูน่าเกลียด ผมก็เคยดูหนังต่างประเทศ อย่างลิตเติ้ล บุดดา พระทิเบตเตะฟุตบอล ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระ ผมก็ดูว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เมื่อเทียบกับเรื่องนี้"

          จุดมุ่งหมายของการทำงาน ก็เพื่อที่จะนำเสนอเรื่องราวความเป็นมาของบุคคลคนหนึ่ง ที่เขาเคยทำสิ่งไม่ดี แต่สามารถที่จะกลับตัวมาเป็นคนดีได้ มันก็เป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมหรือสนับสนุน ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ทุกคนได้เรียนรู้กัน ถ้าคนดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะเห็นว่าได้นำเสนอค่อนข้างครบถ้วน และมั่นใจว่าสังคมก็คงให้โอกาสหนังเรื่องนี้ได้ฉายเหมือนกัน .. .


บทความเกี่ยวข้อง
หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :