เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

หนังเรื่อง องคุลิมาล กับหลักฐานทางพระพุทธศาสนา

เสฐียรพงษ์ วรรณปก
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
นสพ.มติชนรายวัน วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๙๑๕๘

          เรื่องพระองคุลิมาลเถระ อดีตโจรองคุลิมาล มีหลักฐานในตำราพระพุทธศาสนาดังนี้

พระไตรปิฎกบาลี

          (๑) ม.ม.๑๓/๕๒๑-๕๓๔/๔๗๗-๔๘๘ อังคุลิมาลสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ พ.ศ. ๒๕๒๕ เล่มที่ ๑๓ ข้อ ๕๓๑-๕๓๔ หน้า ๔๗๗-๔๘๘

          (๒) ขุ.เถร ๒๖/๓๙๒/๓๘๘-๓๙๑ เถรคาถา ขุททกนิกาย พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ พ.ศ. ๒๕๒๕ เล่มที่ ๒๖ข้อ ๒๙๓ หน้า ๓๘๘

๒.อรรถกถาบาลี

          (๑) ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๓ ภาค ๒ ข้อ ๓๔๗-๓๕๒ หน้า ๒๓๘-๒๔๙

          (๒) ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกาย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๓๓ ภาค ๒ ข้อ ๓๙๒ หน้า ๓๕๘

          (๓) ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาขุททกนิกาย โลกวรรค ภาค ๗

ข้อสังเกต

๑.พระสูตรเล่าเรื่องตั้งแต่ตอนที่อหิงสกะกลายเป็นโจรองคุลิมาลแล้ว พระพุทธองค์เสด็จกลับจากบิณฑบาตเวลาบ่าย เสด็จดำเนินไปตามทางที่มีโจรองคุลิมาลอยู่ เด็กเลี้ยงโคทั้งหลาย รู้ว่าพระพุทธองค์จะเสด็จดำเนินไปทางนั้น พากันมาห้ามไว้ แต่พระองค์ก็ยังเสด็จดำเนินไป

          โจรองคุลิมาลเห็นพระพุทธองค์ จึงถือดาบวิ่งไล่หมายจะฆ่าเอานิ้วให้ครบหนึ่งพันนิ้ว พระพุทธองค์เสด็จดำเนินด้วยพระบาทไปตามปกติ ทรงใช้อิทธิฤทธิ์บันดาลให้มีเหว หลุมบ่อ ภูเขา ป่าไม้ขวางหน้า ทำให้องคุลิมาลไล่ไม่ทัน จึงร้องตะโกนว่า "หยุด สมณะ หยุด" (ติฏฺฐ สมณ ติฏฐ สมณ)

          พระพุทธองค์ตรัสว่า "เราหยุดแล้ว องคุลิมาล เธอสิจงหยุด" (ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺวฺจ ติฏฺฐ)

          องคุลิมาล ขัดใจว่า ทำไมสมณะพูดเท็จว่า หยุดแล้ว ทั้งๆ ที่เดินไปอยู่ จึงกล่าวว่า เราทราบว่า สมณศากยบุตรพูดคำจริง มั่นใจสัจจะ แต่ทำไมสมณะนี้เดินอยู่ ยังพูดว่าเราหยุดแล้ว

          ทำนองจะหาว่าเป็นสมณะยังพูดเท็จหรือ ประมาณนั้น

          พระพุทธองค์ตรัสว่า เราหยุดเบียดเบียนทำลายชีวิตสัตว์แล้ว เธอควรจะหยุด องคุลิมาลได้ยินก็สะดุดใจ วางอาวุธเข้าไปกราบแทบพระบาท ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ และขอบวช พระพุทธองค์ประทานอุปสัมปทาให้แล้ว นำเธอกลับไปยังพระเชตวัน

          ในช่วงเวลานี้ เสียงลือว่าโจรองคุลิมาลอาละวาดหนัก ฆ่าคนตายเป็นเบือหนาหูขึ้น พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงกับตัดสินพระทัยนำกองทัพย่อยๆ ออกไปปราบ ขณะเสด็จพระราชดำเนินผ่านพระเชตวัน ก็เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า (ทำนองไหว้พระฤกษ์เอาชัย ประมาณนั้น)

          พระพุทธเจ้าตรัสถาม "มหาบพิตรนำกองทัพม้าห้าร้อยมานี้ จะไปทำสงครามกับพระเจ้าพิมพิสารหรือเหล่ากษัตริย์ลิจฉวีหรืออย่างไร พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า "หามิได้ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะไปปราบโจรองคุลิมาล พระเจ้าข้า"

          พระพุทธองค์ตรัสถามว่า "มหาบพิตร ถ้าหากว่า โจรองคุลิมาล ทิ้งดาบทิ้งอาวุธกลับใจ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มาบวชเป็นสาวกของตถาคต มหาบพิตรยังจะฆ่าจะปราบเธอไหม"

          พระราชากราบทูลว่า ถ้าบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ถือว่าได้รับอภัย แทนที่จะฆ่าจะปราบ กลับต้องอภิวาทกราบไหว้ อุปถัมภ์บำรุงด้วยปัจจัยสี่เสียอีก แต่คนชั่วช้า บาปหนา อย่างนั้น มีหรือจักกลายเป็นผู้ทรงศีลปานฉะนี้

          พระพุทธองค์ทรงยกพระพาหาขวาชี้ไปที่พระองคุลิมาล ตรัสบอกว่า "มหาบพิตร นั่นคืออดีตโจรองคุลิมาล"

          พระราชาถึงกับสะดุ้งด้วยความกลัว พระโลมชาติชูชันเห็นได้ชัด พระพุทธองค์ตรัสว่า "อย่ากลัวเลยมหาบพิตร ที่นี้ไม่มีภัย" พระราชาจึงทรงสงบพระทัยหายหวาดผวา จากนั้น พระองค์ก็เข้าไปปวารณาพระองคุลิมาลด้วยปัจจัยสี่

          พระองคุลิมาลถวายพระพรว่า อาตมภาพมีจีวรครบแล้ว มหาบพิตรอย่าทรงลำบากด้วยการขวนขวายหาปัจจัยสี่มาถวายเลย อาตมภาพถือธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นนิตย์ ถือบิณฑบาตเป็นนิตย์ และทรงผ้าบังสุกุลจีวร เป็นนิตย์ด้วย ไม่ต้องทรงลำบากด้วยการจัดหาปัจจัยสี่มาถวายดอก

          พระเจ้าปเสนทิโกศล เมื่อทรงทราบเรื่องดีแล้ว จึงเสด็จนิวัติพระนคร

วันหนึ่งพระองคุลิมาล ขณะเดินบิณฑบาตอยู่ เห็นสตรีมีครรภ์แก่จวนคลอด ได้รับทุกขเวทนามาก ไปกราบทูลพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ตรัสให้พระองคุลิมาลแผ่เมตตาจิตให้เธอ วันรุ่งขึ้นพระองคุลิมาลไปตั้งสัตยาธิษฐานต่อหน้าเธอ สตรีผู้นั้นคลอดบุตรโดยง่าย

          สัตยาธิษฐานที่พระองคุลิมาลเปล่งต่อหน้าสตรีนั้นว่า ยาโตหํ ภคนิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ สฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา เตน สจฺเจน โสตฺถิ เต โหตุ โสตฺถิ คพฺภสฺส

          น้องหญิง ตั้งแต่เกิดมาในชาติอริยะ (คือตั้งแต่บวช) อาตมาไม่คิดจงใจพรากสัตว์จากชีวิตเลย ด้วยสัจวาจานี้ ขอความสวัสดีจึงมีแก่เจ้าและบุตรในครรภ์ของเจ้า

          (ต่อมาชาวพุทธเชื่อว่า คาถานี้ เป็นเสมือนมนต์ทำให้คลอดบุตรง่าย พระสงฆ์ได้บรรจุไว้ในบทสวดมนต์เจ็ดตำนาน สวดในการทำบุญของพุทธศาสนิกมาจนบัดนี้)

          พระองคุลิมาล บำเพ็ญสมาธิภาวนาอย่างเข้มงวด อยู่ในป่า ได้บรรลุพระอรหันต์ในเวลาต่อมา

          พระองคุลิมาล ถูกชาวบ้านขว้างด้วยก้อนดิน (เลฑฑุ) ท่อนไม้ (ทณฺโฑ) ก้อนกรวด (สกฺขรา) ขณะออกบิณฑบาต ศีรษะแตก เลือดไหลอาบ บาตรแตก สังฆาฏิฉีกขาด (ภินฺเนน สีเสน โลหิเตน คฬนฺเตน ภินฺเนน ปตฺเตน วิปฺผาลิตา สงฆาฎิยา) พระพุทธองค์ตรัสให้อดทน "นี้เป็นผลแห่งกรรมที่เธอก่อไว้ กรรมที่จะให้เธอไปใช้กรรมในนรกหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี แต่เธอก็ได้ชดใช้แล้วในปัจจุบันชาตินี้"

          ไม่นานท่านก็นิพพาน เหตุการณ์พระองคุลิมาลนี้ คัมภีร์มิได้ระบุชัดว่าเกิดเมื่อใด แต่สันนิษฐานกันว่าเกิดขึ้นในตอนท้ายพุทธกาล ก่อนปรินิพพานไม่นานนัก

          ในพระสูตร ไม่มีพูดถึงนางมันตานี มารดาท่านแอบหนีออกนอกเมือง เพื่อแจ้งข่าวแก่บุตรชาย ก่อนที่กองทัพย่อย ๆ ของพระเจ้าปเสนทิโกศลจะยกไปปราบ และพระพุทธเจ้าเสด็จมาดักหน้า เกรงว่าองคุลิมาลจะพบมารดาและทำอนันตริยกรรม มีรายละเอียดมีอยู่ในอรรถกถา แต่ก็พอคาดเดาได้จาก "บริบท" หรือข้อความแวดล้อม

๒.ใน เถรคาถา ท่านได้เล่าเรื่องพระองคุลิมาล พร้อมแยกคำพูดของท่านมาแทรกเป็นระยะ ว่า ท่านเป็นโจรมาก่อน วิ่งไล่พระพุทธองค์เพื่อฆ่าเอานิ้วมือให้ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว แต่ไล่ไม่ทันทั้งที่เสด็จดำเนินไปตามปกติ เพราะพระพุทธองค์ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ให้มีเหว มีหลุม บ่อ ขวางหน้า มิให้องคุลิมาลไล่ทัน องคุลิมาลจึงตะโกนว่าหยุด สมณะ หยุด พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า เราหยุดแล้ว แต่เธอยังไม่หยุด

          เมื่อองคุลิมาลถามว่า ท่านเดินอยู่ ทำไมพูดว่าหยุด มุสาวาทควรแก่สมณะหรือ พระพุทธองค์ตรัสว่าพระองค์ทรงหยุดทำลายชีวิตสัตว์แล้ว แต่องคุลิมาลยังไม่หยุด

          องคุลิมาลจึงทิ้งดาบ ไปฟังธรรมจากพระพุทธองค์ แล้วทูลขอบวชเป็นสาวกของพระองค์ หลังจากได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว พระองคุลิมาลได้กล่าวคาถาว่า "เมื่อก่อนเรากำลังลอยคออยู่ในกระแสตัณหาเชี่ยวกราก ได้อาศัยพระพุทธองค์เป็นที่ยึดเกาะอันมั่นคง ปลอดภัย"

          ข้อความตอนท้าย ๆ กินใจมาก ว่า "เมื่อก่อน เราอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะในป่า ใต้ต้นไม้ หุบเขา หรือในถ้ำมีแต่ความหวาดสะดุ้ง กลัวภัยอันตราย ไม่มีความสุขเลย บัดนี้(หลังจากบวชแล้ว) จะนั่งก็เป็นสุข นอนก็เป็นสุขมีชีวิตโปร่งโล่งสบาย พ้นจากเงื้อมมือมาร(กิเลส) พระกรุณาอันยิ่งใหญ่ของพระศาสดาช่างน่าอัศจรรย์จริงหนอ"

๓.อรรถกถาทั้งสองคือ ปปัญจสูทนี และปรมัตถทีปนี เล่ารายละเอียดของอหิงสกะตั้งแต่ตอนกำเนิด จนกระทั่งไปศึกษาศิลปวิทยาที่ตักสิลา เป็นศิษย์ประเภท "ธัมมันเตวาสิก" อยู่รับใช้อาจารย์ไปด้วย เรียนไปด้วย(ไม่เสียค่าเรียน) เป็นที่รักของอาจารย์มาก เพราะเป็นคนมีสัมมาคารวะ ทั้งต่ออาจารย์และภรรยาของอาจารย์ และเป็นคนตั้งใจศึกษาศิลปวิทยา เป็นที่โปรดปรานของอาจารย์และภรรยาอาจารย์มาก

          ศิษย์อื่น ๆ ริษยาอหิงสกะ ต้องการทำลายอหิงสกะ จึงพากันยุยงอาจารย์ให้เข้าใจผิดว่า "อหิงสกะ ได้กระทำผิดต่ออาจารย์"

          ศิษย์ทั้งหลายปรึกษากันว่า จะกล่าวหาว่าอหิงสกะไม่เคารพอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะอหิงสกะเคารพเหลือเกิน จะกล่าวหาว่า เกียจคร้านไม่เอาใจใส่ต่อการเรียนก็ไม่ได้ เพราะอหิงสกะ ขยันเรียนและเรียนเก่งกว่าคนอื่นเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว มีทางเดียวคือ กล่าวหาว่า "ตุมฺหากํ อนฺตรํ ทุพฺภติ" (ทำความผิดต่อท่านอาจารย์) ความหมายคงกล่าวหาว่าเป็นชู้กับภรรยาอาจารย์

          อรรถกถาทั้งสองต่างกันอยู่นิดหนึ่ง ปรมัตถทีปนี อรรถกถาขุททกนิกายบอกว่า เมื่ออหิงสกะเรียนจบแล้ว อาจารย์วางแผนกำจัดศิษย์รัก ให้ไปฆ่าคนเอานิ้วมือขวามาพันนิ้ว เพื่อเป็น "ค่าบูชาครู" (ครุทักขิณา) อาจารย์แกคิดว่า เมื่ออหิงสกะไปฆ่าคนเหล่านั้น คงพลาดท่าถูกคนใดคนหนึ่งฆ่าเสียก่อน เรียกว่า แผนยืมมือคนอื่นกำจัดลูกศิษย์ ว่าอย่างนั้นเถิด

          ส่วน ปปัญจสูทนี อรรถกถามัชฌิมนิกาย บอกเช่นกันว่า เรียกค่าบูชาครู(ใช้ศัพท์ว่า อุปจาระ) แต่ไม่ได้บอกให้เอานิ้วมือมาพันนิ้ว บอกให้ไปฆ่าคนพันคน การฆ่าคนพันคน การฆ่าคนนี้แหละเป็น "การบูชาครู" สำหรับจะสำเร็จการศึกษา อาจารย์ทิศาปาโมกข์แกคิดว่า เมื่ออหิงสกะพยายามฆ่าคนถึงพันคน คงมีคนหนึ่งในจำนวนนั้นฆ่าอหิงสกะเสียก่อน

          ป่าที่โจรองคุลิมาลซ่อนตัวเพื่อดักฆ่าเหยื่อ ในพระไตรปิฎก ไม่ระบุไว้ ในหนังสือประวัติองคุลิมาลที่เขียนภายหลังว่า ชื่อว่า "ชาลินี" แต่ในอรรถกถาเรียกว่า "ชาลินวัน อ่าน "ชา-ลิ-นะ-วัน"

          ส่วน อรรถกถาธรรมบท มีเรื่องพระองคุลิมาลอยู่สองแห่ง แต่รายละเอียดสอดคล้องกับหลักฐานข้างต้นมีเพิ่มเติมนิดหน่อย หลังจากท่านนิพพานแล้ว พระสาวกทั้งหลายไม่ทราบว่าท่านบรรลุพระอรหันต์ กราบทูลถามว่า พระองคุลิมาลไปเกิดที่ไหน ได้รับคำตอบจากพระพุทธองค์ว่า "องคุลิมาลดับสนิทแล้ว" (ตัดวงจรแห่งสังสารวัฏ ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไปแล้ว)

          ทั้งหมดคือ ข้อมูลเกี่ยวกับพระองคุลิมาล อดีตอหิงสกกุมาร บุตรปุโรหิตแห่งราชสำนักพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้กลายเป็นโจร เพราะสิ่งแวดล้อมทางบุคคลไม่เอื้ออำนวย คืออาจารย์ซึ่งตามปกติน่าจะเป็นกัลยาณมิตรแต่ได้กลายมาเป็นบาปมิตร ยุยงให้ศิษย์ก่อกรรมทำบาป เดชะบุญได้พระมหากรุณาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงโปรดแสดงธรรมให้เขาได้ละทิ้งตาม หันมาพึ่งร่มเงาพระพุทธศาสนา บำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ปิดทางอบายได้ทันท่วงที

          ถ้าจะถามว่า ทำไมโจรที่ฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพัน จึงสามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ คำตอบน่ะมีให้ แต่มิใช่เวลานี้ จึงขอผ่านไปก่อน คราวนี้เพียงต้องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องจากคัมภีร์พระพุทธศาสนามาเล่าให้ฟังเท่านั้น

          ที่เขียนเรื่องนี้ ก็เพราะได้มีโอกาสไปดูหนังองคุลีมาล ในรอบปฐมทัศน์สำหรับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๖ เห็นว่าข้อมูลเกี่ยวกับตัวองคุลิมาลนั้นคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง

          แต่เมื่อคิดว่าหนังก็คือหนัง มิใช่ตำราเรียนทางประวัติศาสตร์ ก็ไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับข้อมูล และรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ที่จะท้วงติง มิใช่ข้อมูลผิดพลาด

          แต่เป็น "หลักการของพระพุทธศาสนา" ผิดพลาด พูดอีกนัยหนึ่งว่า ไม่สอดคล้องกับหลักการของพระศาสนา หนังออกมาในทำนองไม่ให้เกียรติกับพระพุทธศาสนา

          ก่อนนั้น มีวิทยุคลื่นหนึ่งมาสัมภาษณ์ ถามว่ารับได้ไหมกับคำโฆษณาที่ว่า "หนึ่งดาบฆ่าพันศพเพื่อบรรลุพระนิพพาน" ผมตอบว่า รับไม่ได้

          คนทำหนังกำลังบอกว่า อหิงสกะกุมาร ฆ่าคน เพื่อเป้าหมายคือบรรลุนิพพาน ซึ่งพระพุทธศาสนา (หรือแม้แต่ศาสนาอื่น) ไม่ได้สอนอย่างนี้ การพูดอย่างนี้จึงเป็นการดูหมิ่นพระพุทธศาสนา ถามว่า ทำไมเฉพาะพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ศาสนาอื่น

          คำตอบก็คือ พระนิพพาน เป็นคำสอนเฉพาะพระพุทธศาสนาเท่านั้น ศาสนาอื่นเขาสอนให้บรรลุเป้าหมายอย่างอื่น เช่น เข้าสู่สวรรค์ เมื่อพูดถึงพระนิพพาน ก็เท่ากับพูดถึงเฉพาะพระพุทธศาสนา และพระพุทธศาสนาสอนว่าการจะบรรลุพระนิพพานได้ ก็ต่อเมื่อปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปดเท่านั้น

          คือละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์ ตามแนวทางแห่งศีล สมาธิ ปัญญา มิใช่ด้วยการทำชั่วกลั้วกิเลส

          เมื่อเกณฑ์ให้โจรองคุลิมาลเที่ยวไล่ฆ่าคน เพื่อวัตถุประสงค์คือบรรลุพระนิพพาน เท่ากับมาบิดเบือนบิดเบี้ยวหลักการของพระพุทธศาสนา จึงรับไม่ได้

          ผู้จัดรายการวิทยุถามว่า ควรทำอย่างไร ผมบอกไปว่า ทางที่ดีควรยอมรับผิด แล้วแก้คำโฆษณาโดยด่วน อาจจะใช้คำอื่นเช่น มหาโจรพันศพ กลับใจ พบพระ ได้บรรลุนิพพานเป็นต้น ถ้าอย่างนี้ ก็ไม่ขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

          ทำให้มองเห็นว่า คนเรามีโอกาสผิดพลาด ทำบาปทำชั่วได้ แต่เมื่อสำนึกผิด กลับตัวกลับใจแล้ว ก็เป็นผู้ที่น่ายกย่อง เป็นบุคคลประเภท "ต้นคตปลายตรง"

          ที่พูดวันนั้นพูดถึงเฉพาะคำโฆษณา มิได้พูดถึงหนัง เพราะยังไม่ได้ดู

          เมื่อได้ดูหนัง ก็ยังเห็นแผ่นโฆษณาเล็กๆ ข้อความหนักข้อไปกว่าเดิมว่า "ผ่านพ้นพุทธกาล ๒๕๔๖ ปี ตำนานแห่ง "ศาสดาฆาตกร" จะย้อนกลับมาประจักษ์ สู่สายตาคุณอีกครั้ง"

          ศาสดาฆาตกร นี้ก็ผิดฉกาจฉกรรจ์ องคุลิมาล มิใช่ศาสดา ศาสดาหมายถึง "ผู้ก่อตั้งศาสนา" เช่น พระพุทธเจ้า พระมูฮัมมัด พระเยซู ไม่ว่าศาสนาใด ไม่มีสิทธิเป็นฆาตกร หรือพูดให้ชัด ฆาตกร ไม่มีสิทธิเป็นศาสดา อย่าว่าแต่ฆาตกรเลย คนธรรมดา ๆ จะเลอเลิศปานใด ก็ไม่เป็นศาสดา

          เมื่อข้อความแวดล้อมพูดถึงเรื่องราวขององคุลิมาลในตำนานทางศาสนา คำว่า "ศาสดา" ในที่นี้จะเป็นศาสดาอื่นไปไม่ได้ นอกจากศาสดาแห่งพระพุทธศาสนา คือพระพุทธเจ้า

          ถ้าจะเลี่ยงว่า ในที่นี้ต้องการพูดว่า "ศาสดาแห่งฆาตกร" หนังเรื่องนี้พูดถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาของฆาตกร (คือองคุลิมาล)

          พอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ก็ผิดมหันต์อีก ผิดตรงหนังเรื่องนี้มิได้เน้นที่พระพุทธเจ้า มิใช่พุทธประวัติพระพุทธเจ้าปรากฏเพียงฉากสั้น ๆ ตอนตรัสเตือนองคุลิมาลว่า "เราหยุดแล้ว แต่เธอสิจงหยุด" แค่นั้นเอง

          ตลอดทั้งเรื่องเป็นชีวิตขององคุลิมาล

          ได้ทราบว่าผู้ผลิตหนังได้แก้ไขคำโฆษณาแล้ว ก็อนุโมทนาด้วย

          พูดถึงหนังองคุลิมาล ผมดูด้วยความระทึกใจ นึกชมในความพยายาม และความสามารถของผู้สร้าง ผู้กำกับ ฉาก เสียง เพลงประกอบ การแต่งตัวของตัวละคร ดูเหมาะสมไม่ขัดเขิน ทำให้ลืมบรรยากาศความเป็นไทย เป็นแขก เข้าสู่มิติ "สากล" ได้สนิทกลมกลืน

          นี่ผมพูดในฐานะผู้เสพหนังที่ใช้อัตวิสัยในการตัดสิน ไม่เกี่ยวกับหลักวิชาว่าด้วยการวิจารณ์หนังใดๆ

          แต่ที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็คือ หนังเริ่มบิดเบือนหลักการพระพุทธศาสนาตั้งแต่ฉากแรกๆ ที่เกณฑ์ให้เด็กน้อยอหิงสกะพูด(เมื่อถูกอาจารย์ถามว่าจะเรียนวิชาอะไร) ว่า "ข้าต้องการบรรลุธรรม" แล้วก็ดำเนินเรื่องไปเพื่อบรรลุจุดประสงค์นี้ ฆ่าคนตายเป็นเบือโดยไม่รู้สึกรู้สมอะไร ตรงข้ามกลับปีติปราโมทย์ที่ได้จับดาบบั่นคอคนเพราะรู้สึกว่า กำลังดำเนินไปสู่การบรรลุธรรม ฆ่าได้พันคนเมื่อใดก็เรียกว่าได้บรรลุธรรมแล้ว

          และธรรมนี้ก็คือพระนิพพาน ดังที่คำโฆษณาออกมานั้นแล

          นอกจากจะแก้ใหม่ ถ้ายินดีแก้ไข ซึ่งมีทางทำได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไรมาก โดย

          (๑) เปลี่ยนเป้าหมาย โดยให้อหิงสกะไปเรียนที่ตักสิลา เพื่อจุดสุดยอดแห่งศิลปวิทยา หรือที่หนังกำลังภายในว่า "ยอดวิทยายุทธ" การพูดว่า "เพื่อบรรลุธรรม" นำให้คิดถึงบรรลุธรรมสูงสุดตามแนวพระพุทธศาสนา เพราะตัวละครเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา

          (๒) หรือถ้ายืนยันจะใช้คำว่า บรรลุธรรม ก็ต้องชี้ให้ชัดว่า บรรลุธรรมตามลัทธินอกพุทธศาสนา การฆ่าฟันคนเป็นพันๆ ก็เข้าใจว่าเพื่อบรรลุธรรมแบบนั้น แต่ในที่สุดมาพบพระพุทธเจ้า จึงได้สำนึกว่า ตนได้หลงผิดและถลำลึกจนเกือบจะแก้ไขไม่ได้ หากเพราะพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขุนโจรดาบเปื้อนเลือดจึงกลับตัวกลับใจ หันมาปฏิบัติดำเนินตามแนวทางของพระพุทธองค์ จึงได้บรรลุธรรมที่แท้จริง

          ถ้าดำเนินเรื่องไปในแนวนี้ หนังเรื่องนี้จะเป็นผลงานอันวิเศษชิ้นหนึ่ง ของผู้สร้างผู้กำกับแทนที่จะเป็นหนังคัดค้าน หรือดูหมิ่นหลักการพระพุทธศาสนา ก็กลับเป็นหนังที่สนับสนุนแนวทางของพระพุทธศาสนาไปโดยอัตโนมัติ

          ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมไม่ได้แตะต้องรายละเอียดปลีกย่อย ว่าสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาหรือไม่ เพราะเข้าใจดีว่าหนังก็คือหนัง มิใช่บันทึกประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา

          ตราบใดที่หลักการใหญ่ของพระพุทธศาสนา ไม่ถูกบิดเบือน ก็ยอมรับได้

          ที่ยกคำพูดของท่านพุทธทาสมาว่า เรื่ององคุลิมาลไม่มีในพระไตรปิฎกนั้น ไม่ตรงข้อเท็จจริง ท่านพุทธทาสอาจลืมไป ว่าเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกตั้งสองแห่ง ดังกล่าวมาข้างต้น ไม่นับรวมคัมภีร์ชั้นหลังซึ่งมีอีกหลายแห่ง

          ทราบว่าบางท่านรุกหนักถึงกับให้เปลี่ยนข้อเรื่อง ห้ามใช้องคุลิมาล ดูจะหนักข้อไปนิด เพราะประเด็นหลักมิได้อยู่ตรงนั้น หากอยู่ที่หลักการของพระพุทธศาสนามากกว่า

          แต่ถ้าจะเปลี่ยนจริง ๆ ชื่อ "อังเคิลลิมาล" น่าจะเหมาะไม่น้อย .. .


หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :