มาถึงฮานอย ฉันได้เพื่อนคุยใหม่ เราซักประวัติกันไปมาแบบคนถูกชะตาทั่วไป เขาก็เล่าของเขา ฉันก็เล่าประวัติของฉัน รวมความได้ว่า
ฉันเป็นผู้หญิงอายุสี่สิบปีบริบูรณ์ มีอาชีพครู เป็นครูที่ไม่มีหนี้สิน มีลูกสองคนที่ทางโรงเรียนไม่เคยต้องเรียกพบผู้ปกครอง พวกเขาร้ายบ้าง แต่ขี้สงสาร โดยเฉพาะมด ตกน้ำเมื่อใด พวกเขาจะเดือดร้อนกันเป็นพิเศษ
ฉันมีเพื่อนซี้เป็นสามี แม้ว่า หลายปีทีเดียวที่ฉันทุรนทุรายอยู่ภายใต้กรอบของชีวิตคู่ ฉันหาว่าเขาทำตัวเป็นเด็ก ให้รับผิดชอบอะไรแล้วไม่ค่อยเวิร์ค บางขณะ ฉันถามตัวเอง ว่าทนอยู่กับเขามาได้ยังไงเป็นสิบ ๆ ปี
แต่เช้าวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาแล้วค้นพบว่า เขาไม่ได้แกล้งเป็นปีเตอร์แพน เพื่อหลีกหนีความเป็นผู้ใหญ่และความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันที่แสนจะซ้ำซากน่าเบื่อ หรือเลือกทำเฉพาะสิ่งที่เขา ชอบอย่างที่ฉันชอบประณามเขาหรอกนะ
ที่แท้แล้วเคมีในสมองของเขาต่างหาก ที่ทำงานไม่เหมือนกับของฉันหรือของคนทั่วไป เขาสื่อสารด้วยการ อ่าน ได้รู้เรื่องกว่า ฟัง ดังนั้นหลายครั้งเขาจึงมักเสียเปรียบผู้คนในโลก และฉัน ซึ่งเกิดมาพร้อมกับความกลัวตัวเองจะ เสียเหลี่ยม จึงโมโหโกรธาและรับไม่ได้มาโดยตลอด เมื่อต้องอยู่กับคนที่เหมือนไม่เคยมีต่อมผลิต เหลี่ยม มาก่อนเลยในชีวิต
เช้านั้นเองที่ฉันมองเขาด้วยสายตาใหม่ และเพิ่งรู้ว่า ทำไมประกายตาของเขาถึงได้ จ้า เหมือนดวงตาของเด็ก คุณลองมอง ประกายตา ของผู้คนสิ หลายคนประกายตา หมอง จนฉันใจหาย และหลายคนฉายแววคมกริบราวกับจะเฉือนเราเป็นชิ้น ๆ ในพริบตา
นี่ขนาดฉันยังไม่ได้โม้กับเพื่อนใหม่ว่า ฉันมี ครอบครัวแสนงาม (ใหญ่และรุงรัง) ที่เนืองแน่นไปด้วยผองเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่แค่มองตากัน ก็รู้สึกแล้วว่า ด่ากันไปงั้น รักกันจะตายชัก ! อีกเป็นโขยง
เพียงแค่นี้เพื่อนใหม่ยังออกปากว่า ชีวิตฉันดีจัง ฉันและสามีดูเป็นคนงดงามจัง ! (อี๋แหวะ !) ชมกับใครไม่ชมดันมาชมกับคนบ้ายอ เสียนี่...
วันหนึ่งในฮานอย เราได้ไปปีนเขานอกเมืองไกลลิบ ๆ ฉันดีใจมาก เพราะถ้าอยู่ในเมืองเสียงแตรจะดังทุกวินาทีจนแทบทนไม่ได้ ดูเหมือนรถทุกคัน ทุกยี่ห้อจะมีกระสุนอย่างไม่จำกัดจำนวน กระสุนนั้นสาดออกมาเป็นร้อย ๆ ตับด้วยเสียงแตร เขาลั่นไกกันทุกเสี้ยววินาที หรือนี่คือสงครามอย่างใหม่.... สงครามของการรีบไปทำมาหากิน หรือสงครามแบบนี้มีทั้งเสียงดังหนวกหู ชัดเจน และมีอย่างเงียบกริบไม่ทันให้ใครได้ไหวตัว ซึ่งน่ากลัวกว่านี้ร้อยเท่า
แถมจะว่าไป ถ้าอยู่ในเมืองกิจวัตรของฉันก็มีแค่เดินซื้อผ้าปัก ผ้าลูกไม้ที่ราคาถูกแสนถูกหากเทียบกับที่อื่น แต่ฉันก็ยังห้ำหั่นราคากับเขาแบบสู้ยิบตา และตกค่ำ เมื่อเอาผ้าแสนสวยมากองรอบตัว ฉันจึงได้รู้ว่า ที่แท้แล้วทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งหัวใจของฉัน สยบยอมเป็นเมืองขึ้นฝรั่งตาน้ำข้าวมาโดยตลอด ฉันชอบความงามอย่าง ฝรั่ง จนถอนตัวไม่ขึ้นจริง ๆ ก็ดูกองผ้าที่พะเนินเทินทึกเหล่านี้ปะไร ล้วน สวยอย่างฝรั่ง ทั้งนั้น
ก่อนปีนเขา ฉันซื้อไม้ไผ่ที่เขาตัดกันสด ๆ ตรงทางขึ้นเพื่อทำไม้เท้า ขาฉันเจ็บมาสองสามปีแล้ว หญิงชราคนขายยิ้มตาหยี ทั้งที่คงเกลียดคนไทยเข้ากระดูกดำที่เคยให้ไอ้กันมาตั้งฐานทัพฯ ป้าแกบอกราคาเป็นภาษาเวียดนาม มีคำหนึ่งที่เหมือนคำว่า หมื่น อารามจะรีบขึ้นตามคนอื่น คือช้ากว่าคนอื่นไม่ได้ ไม่รู้เป็นไง ฉันจึงสั่งการให้สามีจ่ายสตางค์เขาไปหมื่นด่อง (๓๐ บาท) สามีรีบควักเงินให้ ป้าคนขายแกทำท่าดีใจจนออกนอกหน้า ทั้งโค้งทั้งไหว้ แถมพยายามจะพูดอะไรที่ฉันไม่เข้าใจ ก็ฉันมัวแต่มุ่งจะเดินตามพรรคพวกให้ทัน ฉันไม่ชอบความเป็นที่โหล่นี่นา
แต่ขนาดรีบ ฉันก็ยังทำหน้าแบบ คนใจดี ที่ช่วยกระจายรายได้ให้คนท้องถิ่น เข้าทำนองหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แบบนั้น
ครั้นพอลากสังขารขึ้นเขาไปได้ช่วงหนึ่ง คนข้าง ๆ เกิดบอกว่า เขาซื้อไม้ไผ่มา แค่ ๓ บาท ไม่ใช่ ๓๐ บาท อย่างฉันเท่านั้นแหละ วิวสองข้างทางชักไม่สวยขึ้นมาทันที
ฉันโกรธสามีจี๊ดขึ้นมาในบัดดล โทษที่เขาไม่ถามราคาซ้ำ แว่บหนึ่งเขามองหน้าฉันเหมือนจะถามตัวเองว่า นี่เขาทนอยู่กับยายแก่ขี้บ่นขี้งกคนนี้มาได้อย่างไรตั้งสิบกว่าปีหนอนี่ !
ยัวะสามียังไม่เท่ายัวะยายป้าคนขาย ที่ฉันเดาเอาว่าแกคงอยากแก้แค้นรัฐบาลไทย เลยมาทวงคืนเอากับฉัน ฉันพาลโกรธไปถึงดวงตาขัน ๆ กึ่งเอ็นดูของเพื่อนร่วมทาง ที่หาว่าฉันเสียรู้ป้าแก่ ๆ ได้ยังไงเนี่ย
ฉันโกรธคนหมดโลกเลยให้ตายเถอะ.
ฉันใช้เวลาเป็นชั่วโมง ในการปีนภูเขาหิน โคตรจะชัน ระยะทาง ๕ กิโล ด้วยความโกรธแค้น อยากจะลงมาข้างล่างไว ๆ จะได้รีบมาทวง ๒๗ บาทคืนให้หายแค้น หนอยแน่ะ !! เล่นกับใครไม่เล่น
ฉันเสียดายเงินหรือ.... ไม่ใช่...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า ฉันเสียเหลี่ยม !!