เสขิยธรรม
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรม ฉบับที่ ๕๖

แวดวงเสขิยธรรม
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์
ภาควิชาปรัชญา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผ้าป่าเสขิยธรรม ครั้งที่ ๒ "บุญทางสังคม" : ทำอย่างไรให้ได้บุญ

เมื่อเอยคำว่า “บุญ” ขึ้นมาดูเหมือนว่าคำนี้จะมีปัญหาในเรื่องความหมายในทางปฏิบัติ คือ พูดกันได้ แต่ความหมายในทางปฏิบัติไม่แน่ชัดว่าทำอะไร ? และทำอย่างไร ?

          ความไม่แน่ชัดอยู่ที่ว่า ทำบุญหมายถึงทำอะไร และทำอย่างไรจึงจะได้บุญ ความไม่ชัดของความหมายเรื่องบุญนี้เป็นเรื่องน่าสนใจ เพราะคนไทยนิยมทำบุญกันเป็นปกติ จนกลายเป็นประเพณีที่ทำตาม ๆ กันไปด้วยความเคยชิน การอธิบายความหมายของการทำบุญ ดูเหมือนจะหดแคบลงทุกที จนระยะหลัง ๆ นี้การทำบุญดูจะมีความหมายทางปฏิบัติเพียงแค่ว่า เสียสละสตางค์ให้กับวัดหรือถวายสิ่งของแก่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้น

.
บรรยากาศการเสวนา “บุญทางสังคม” : ทำอย่างไรให้ได้บุญ
   

          เมื่อกลุ่มเสขิยธรรม ได้จัดงานทอดผ้าป่าเสขิยธรรม ครั้งที่ ๒ ขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๖ ณ วัดสวนแก้ว จ.นนทบุรี และมีช่วงการเสวนาเรื่อง “บุญทางสังคม” : ทำอย่างไรให้ได้บุญ ? เสวนาโดย พระพิศาลธรรมพาที (พระพยอม กลฺยาโณ) / อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ / คุณปรียานุช ปานประดับ และดำเนินรายการโดย คุณสุเมธ โสฬศ นั้น ประเด็นเรื่องบุญ จึงถูกนำมาพิจารณากันบนเวทีเสวนา

          เพื่อเตือนความจำ จึงมีการทบทวนความจำร่วมกันว่า คำว่า “บุญ” ตามตัวหนังสือนั้นแปลว่า “ฟู” ที่มีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า “แฟบ” บุญที่แปลว่า ฟู นั้น หมายถึงลักษณะอาการของจิตที่ฟูขึ้น ปรากฏออกมาเป็นความปีติเบิกบาน ความปิติเบิกบานอันเป็นอาการของจิตนี้รู้จักกันโดยเชื่อว่า ความสุข ด้วยเหตุแห่งความหมายเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระภิกษุกลุ่มหนึ่งว่า “บุญเป็นชื่อของความสุข”

          สภาวะแห่งจิตที่เป็นบุญนี้ตรงกันข้ามกับสภาวะที่เป็นบาป อันมีลักษณะเป็นอาการห่อเหี่ยวเศร้าหมอง ที่เรียกกันว่า ความทุกข์ สภาวะที่เรียกว่า บุญ จะต้องเป็นไปภายในจิตที่ประกอบด้วยกุศลกรรม นั้นคือจิตที่มีจาคะ เมตตา และปัญญาเป็นเจ้าเรือน จิตที่เป็นกุศลนี้จะรับรู้และปรุงแต่งตัวตนให้งดงามทั้งกาย – วาจา และใจ ดังที่พระพุทธองค์ทรงเปรียบผู้มีจิตประกอบด้วยกุศลว่า เป็นเหมือนช่างร้อยพวง--มาลัย ที่เลือกหยิบเอาดอกไม้ที่หลากสีต่างรูปมาร้อยรวมกันเรียงกันให้เป็นพวงมาลัยที่งดงาม ผู้มีจิตเป็นกุศลก็ย่อมจะเลือกทำกรรมทั้งทางกาย วาจา และใจ ให้เป็นตัวตนบุคคลที่งดงาม บุญและกุศลนี้ต่างก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัยของกันและกันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ชาวไทยเราจึงนิยมเรียกรวม ๆ กันว่า ทำบุญ ทำกุศล

          ความหมายของบุญที่นำมาปรารภเพื่อเตือนความจำนี้ ไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจ เพราะเป็นความรู้พื้น ๆ ระดับความจำที่เมื่อปรารภขึ้นก็พอนึกได้ แต่ยังไม่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจในความหมายเชิงปฏิบัติ เพราะเพียงแต่แปลความหมายตามตัวอักษรได้ ยังไม่ได้หมายความว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้องเหมาะสม ในครั้งพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า การประพฤติปฏิบัติในลักษณะใดบ้างที่ก่อให้เกิดบุญขึ้นมาได้ เพื่อแสดงตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม พระพุทธองค์ทรงแสดงบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการไว้ดังนี้

๑. การเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่กันและกัน (ทาน)
๒. การฝึกอบรมให้เกิดปกติสุขด้วยการไม่เบียดเบียนต่อกันและกัน (สีล)
๓. การบำเพ็ญภาวนาให้ประจักษ์แจ้งในความเป็นไปต่าง ๆ อย่างรู้เท่าทัน (ภาวนา)
๔. การอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยความคารวะต่อกันและกัน (อปจายน)
๕. การเอาใจใส่ขวนขวายช่วยเหลือกิจกรรมอันเป็นสาธารณประโยชน์ (เวยยาวัจจ)
๖. การทำหน้าที่ (ปฏิบัติธรรม) เพื่อให้เกิดเป็นความดี ความงาม ของส่วนรวม (ปัตติทาน)
๗. การชื่นชมยินดีกับความดี ความงาม ที่เพื่อนร่วมชุมชน / สังคมได้บำเพ็ญให้เกิดขึ้น (ปัตตานุโมทนา)
๘. การน้อมจิตรับฟังข้อปฏิบัติที่ผู้รู้แนะนำ (ธัมมัสสวน)
๙. การแสดง / เปิดเผยข้อพึงปฏิบัติที่ตนเองรู้แล้วให้เพื่อร่วมชุมชน / สังคมได้รู้และปฏิบัติ (ธัมมเทสนา)
๑๐. ทำความเห็น / ทัศนคติ / ค่านิยม ของชุมชน / สังคม ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง (ทิฏฐุชุกรรม)

          การประพฤติปฏิบัติอันก่อให้เกิดบุญ (บุญกิริยาวัตถุ) ทั้ง ๑๐ ประการนี้ คือตัวอย่างแห่งการกระทำที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ จากตัวอย่างแห่งบุญที่แสดงไว้ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนานี้ ทำให้เกิดข้อควรพิจารณาว่า แล้วทำไมสังคมไทยจึงยังไม่เข้าใจวิธีทำบุญ เท่าที่ลองนึกดูและพอจะนึกได้ในช่วงขณะนี้ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะ มีความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อการทำบุญอยู่ในส่วนต่อไปนี้คือ

๑. ความเข้าใจที่มองเห็นบุญเป็นกิจส่วนตัว เป็นเรื่องของปัจเจกชน

          การมองเช่นนี้ทำให้บุญเป็นเรื่องของบุคคลเป็นคน ๆ เป็นกิจส่วนตัวเหมือนการอาบน้ำ การขับถ่าย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว บุญในพุทธศาสนาเป็นเรื่องของชุมชน / สังคม ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนส่วนนี้ น่าจะเกิดมาจากกระบวนการเรียนรู้ในปัจจุบันที่ทำให้มนุษย์แยกเป็นบุคคล เป็นคน ๆ แล้วความหมายของมนุษย์ก็กลายเป็นความหมายของปัจเจกบุคคล ความสำเร็จก็เป็นความสำเร็จของบุคคล เป็นคน ๆ ความดีก็เป็นความดีของคนเป็นคน ๆ ด้วย

          กระบวนการเรียนรู้แบบนี้จึงทำให้ แม้กระทั่งบุญก็เป็นบุญของปัจเจกบุคคล การมองบุญเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลนี้ เป็นเหมือนที่สังคมปัจจุบันมอง “ความรู้” เป็นทรัพย์ส่วนบุคคล จนถึงจะต้องตรากฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ส่วนบุคคล บุญเองก็มีลักษณะเป็นเช่นนั้นในปัจจุบันนี้

๒. ความเข้าใจที่มองเห็นบุญเป็นการกระทำเฉพาะช่วงขณะ คือมองเห็นบุญเป็นกิจกรรมแยกเป็นส่วน ๆ ทำสำเร็จแล้วก็เสร็จเลย

          ความเข้าใจนี้สัมพันธ์อยู่กับการมองโลกและชีวิตแยกเป็นส่วน ๆ เป็นเรื่อง ๆ แบบหยุดนิ่ง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วบุญเป็นกิจกรรมต่อเนื่องตลอดไป ภาษาทางศาสนาใช้คำว่า “สั่งสม” นั้นคือต้องสั่งสมตลอดไป ไม่หยุดนิ่ง

          บุญเป็นกระแสสัมพันธ์เชิงอิงอาศัยเกื้อกูลต่อกันและกัน ในขณะที่บาปเป็นความสัมพันธ์เชิงเบียดเบียนต่อกันและกัน การทำบุญจึงหมายถึงการสร้างเหตุปัจจัยที่เอื้อให้เกิดการอยู่ร่วมกันในเชิงอิงอาศัย การบำเพ็ญบุญจึงต้องบำเพ็ญอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่เราจะต้องหายใจเอาอากาศไปหล่อเลี้ยงกระบวนการดำรงอยู่ของชีวิต

๓. ความเข้าใจว่าบุญเป็นเรื่องของวัตถุและปริมาณ

          ความเข้าใจข้อนี้สัมพันธ์อยู่กับการมีชีวิตอยู่ในสังคมเทคโนโลยี ที่คุณค่าและความหมายของสิ่งต่าง ๆ ถูกกำหนดไว้ที่สื่อกลางคือวัตถุ เครื่องมือ เครื่องใช้ และทำให้เกิดความหมายเชิงปริมาณ เช่น การทำบุญ ๑๐๐ บาท ได้บุญมากกว่า การทำบุญ ๑๐ บาท

          ในสังคมเทคโนโลยี เช่นปัจจุบันความหมายและ คุณค่าของมนุษย์ ถูกทำให้ปรากฏผ่านอุปกรณ์เครื่องใช้จนกลายเป็นว่า ความสัมพันธ์ต่อกันและกันของมนุษย์ขึ้นอยู่กับวัตถุ รวมทั้งเรื่องบุญก็ถูกตีค่าผ่านวัตถุ ทำให้ความเข้าใจผิดไปว่า บุญมาก บุญน้อย ขึ้นอยู่กับวัตถุ สังคมจะต้องปรับเปลี่ยนความเข้าใจเสียใหม่ เพราะเนื้อแท้ของบุญอยู่ที่จิตใจ ความปีติเบิกบาน อันเป็นอาการแห่งบุญอยู่ที่การเอื้อเฟื้อ เอื้ออาทรต่อกัน ความมากความน้อยของบุญไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหรือปริมาณของวัตถุ หากแต่อยู่ที่คุณภาพของจิต คนที่ได้บุญมากคือคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อมากและมีปัญญามาก

          ความเข้าใจคลาดเคลื่อนทั้ง ๓ ประการนี้ ทำให้การทำบุญขาดมิติทางสังคม จนดูเหมือนกับว่าการทำบุญก็เป็นเหมือนการทำประกันชีวิตกับบริษัทขายประกัน ที่บริษัทขายประกันจะจ่ายค่าชดเชยให้เฉพาะกับบุคคลผู้เอาประกันเท่านั้น การทำบุญในปัจจุบันถูกเข้าใจและมองเห็นเป็นเพียงแค่ว่าการให้วัตถุอะไรไป ก็จะได้วัตถุนั้นคืนมา ให้ไปมาก ได้คืนมาก ให้ไปน้อย ได้คืนน้อย

          การเข้าใจแบบนี้ไม่ได้เป็นไปตามแบบอย่างของบุญกิริยาวัตถุ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้เลย ที่สำคัญคือ การทำบุญแบบมุ่งวัตถุ มุ่งปริมาณ โดยมีบุคคลเป็นคน ๆ เป็นผู้รับผล ไม่ได้เกิดขึ้นจากจิตที่ประกอบด้วยกุศล กลับตรงกันข้ามเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยอกุศล เพราะจิตยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นเจ้าเรือน

          การทำบุญที่ถูกต้องนั้น ผลที่บังเกิดขึ้นสามารถมองเห็นได้ใน ๒ ทางคือ

          ๑. จากทางฝ่ายผู้กระทำ ผลของการทำบุญจะทำให้จิตเบิกบานด้วยความงอกงามแห่งกุศลธรรม คือ ความไม่โลภ (จาคะ) ความไม่โกรธ (เมตตา) และความไม่หลง (ปัญญา) กุศลธรรมที่งอกงามในจิตของผู้บำเพ็ญบุญนี้ คือ อาการแห่งบุญที่มองเห็นได้จากฝ่ายผู้กระทำ

          ๒. จากทางฝ่ายผู้รับ ผลของบุญนั้น แม้จะเริ่มต้นจากภายในจิต แต่เมื่อกระทำให้ปรากฏออกมาเป็นกายกรรม วจีธรรม และมโนธรรมแล้ว ผลย่อมปรากฏในบุคคล / ชุมชน / สังคม เป็นความเอื้อเฟื้อ เอื้ออาทร มีมิตรไมตรีต่อกันและกัน

          การบำเพ็ญบุญในทุก ๆ ลักษณะจึงเป็นไปเพื่อยังผลทั้ง ๒ ทางนี้ให้เกิดขึ้น ในการพรรณาอานิสงส์ของการบำเพ็ญบุญ พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าการทำบุญที่มุ่งชุมชน มีอานิสงส์มากกว่าบุญที่ทำโดยมุ่งบุคคล ดังกรณีของการบำเพ็ญทานที่สังฆทาน มีอานิสงส์มากกว่าปาฏิบุคคลิกทาน

          ดังนั้นเพื่อทำความเข้าใจเรื่องบุญให้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศานา สังคมไทยต้องรีบกันบำเพ็ญบุญตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ข้อที่ ๑๐ ให้มากคือต้องช่วยกันทำความเห็นของสังคมให้ถูกต้องว่าการทำบุญแท้จริงนั้นหัวใจสำคัญคือ สร้างสรรค์สังคมให้เป็นสังคมที่เอื้ออาทรด้วยมิตรไมตรีต่อกันและกัน

          สังคมจะเป็นสังคมแห่งมิตรไมตรีที่มีความเอื้ออาทรต่อกันและกันได้ ก็ด้วยการทำให้สังคมขับเคลื่อนไปตามวิถีแห่งกุศลคือ พวกเราจะต้องมีจิตที่ปิติ เบิกบาน ด้วยการให้ แบ่งปันแก่กันและกัน มีความสัมพันธ์กันด้วยไมตรีจิต และรับรู้ความเป็นไปต่าง ๆ ด้วยจิตที่รู้เท่าทัน

          การทำบุญทางสังคม ก็คือ การบำเพ็ญตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา ที่มุ่งประโยชน์สุขของพหูชน (ชุมชน – สังคม) บนวิถีแห่งการบำเพ็ญบุญแบบพุทธ ความดี ความงาม ความสุข ไม่ใช่เป็นของใครคนใดคนหนึ่งเพียงผู้เดียว แต่เป็นความดี ความงาม ความสุข ของทุก ๆ คนในสังคมร่วมกัน .. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :