ลังสงครามเย็นยุติลง โลกก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ในร่มเงาของทุนนิยมเสรี และบริโภคนิยมสุดขั้ว ความรุนแรงแพร่ระบาดทั้งในระดับโครงสร้าง วิถีชีวิต และวิธีคิดของปัจเจกชน ขณะที่รัฐและสถาบันศาสนาอ่อนแอลง จนเกินกว่าจะต้านทานอิทธิพลบรรษัทข้ามชาติ ซึ่งคืบคลานเข้าครอบงำผู้คนอย่างปราศจากขอบเขต – พรมแดน
ในสยาม หลังจากชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จของพรรคการเมือง ตัวแทนฝ่ายทุน จนเกิดภาวะเผด็จการรัฐสภา ที่ยึดกุมอำนาจรัฐได้โดยแทบปราศจากการถ่วงดุลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดูเหมือนพลังเคลื่อนไหวทางสังคมจำนวนไม่น้อยต่างอยู่ในอาการอ่อนล้า ทั้งการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม พลังงาน การผลิตและเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ตลอดจนการศึกษาและการเมืองทางเลือก
ขณะที่ “คนเดือนตุลา” หรือ “สหายเก่า” กลุ่มอื่น ๆ หากไม่หันไปสยบยอมกับการ “คิดใหม่ ทำใหม่” ก็มุ่งสู่การ “ทำมา หากิน” เพื่อแสวงหนทางเอาตัวรอดส่วนตัว หรือกระทั่งเก็บตัวเงียบอยู่ในซอกมุมที่คิดว่าปลอดภัย อันเป็นการแสวงหาความ “พอเพียง” ส่วนตัวโดยแท้
ด้วยเนื้อดินและสภาวะแวดล้อมเช่นนี้ แทบไม่น่าเชื่อ ว่า “เมล็ดพันธุ์แห่งสันติ” กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง จะงอกงามขึ้นได้ เพียงด้วยความชุ่มเย็นแห่งมิตรภาพและศาสนธรรม แทบไม่น่าเชื่อว่าคนหนุ่มสาว ซึ่งล้วนเป็นอาสาสมัครและปราศจากการเรียกรับเงินตอบแทน จะสามารถรวมตัวกันทำกิจกรรมทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศ และระดับนานาชาติได้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน เพียงเพราะพวกเขาและเธอเชื่อมั่นในการภาวนาและสันติวิธี
“เสขิยธรรม” นัดตัวแทนของ “กลุ่มศาสนิกชนชาวไทยเพื่อสันติภาพ” มาพูดคุยเพื่อบันทึกเทป หลังจากหนุ่มสาวกลุ่มนี้เสร็จสิ้นการติด “ธงสีฟ้า” เพื่อเรียกร้องสันติภาพและการยุติสงคราม ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เพื่อผู้อ่าน “เสขิยธรรม” จะได้รับทราบถึงบทบาทของ “ศาสนิกชนรุ่นใหม่” ที่เคลื่อนไหวทางสังคมด้วย “ศาสนธรรม” โดยไม่ติดยึดอยู่กับความเชื่อ และลัทธินิกายที่ตนศรัทธา.. 
|