เสขิยธรรม ฉบับนี้ออกวางตลาดและส่งถึงสมาชิกล่าช้ากว่า ๒๐ วัน เป็นความล่าช้าเกินกว่า ๗ วัน เป็นครั้งแรก นับแต่เปลี่ยนรูปเล่มเป็นปกสี่สีเนื้อในกระดาษปอนด์ เช่นปัจจุบัน...
ทั้งนี้ เนื่องจากกองบรรณาธิการตัดสินใจเปลี่ยนประเด็นเนื้อหาทั้งเล่ม จากเดิมทีกำหนดไว้เป็น การเผยแผ่ธรรมะในสังคมร่วมสมัย เพื่อรำลึกถึงท่านอาจารย์พุทธทาส ซึ่งจะครบรอบ ๙๗ ปีชาตกาลของท่านในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๖ นี้ มาเป็นประเด็น สงครามกับศาสนา..ศาสนธรรมกับสงคราม เพื่อร่วมไว้อาลัยให้กับชะตากรรมของมนุษยชาติ ที่ถูกชักพาไปสู่ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น และปราศจากความชอบธรรม
สงคราม เริ่มขึ้นระหว่างเวลาที่ เสขิยธรรม ควรอยู่ในระยะสุดท้ายของกระบวนการจัดพิมพ์ แต่กระนั้นกองบรรณาธิการก็ยังหาข้อยุติของเนื้อหาโดยรวม ตามประเด็นที่กำหนดขึ้นใหม่ไม่ได้ กระทั่งเวลาล่วงเลยมาอีกหลายวัน เราจึงสรุปทุกอย่างไว้ที่ ปฏิบัติการด้านสันติวิธีของคนเล็กคนน้อย ประกอบกับมุมมอง และบทวิเคราะห์ของศาสนิกชน ผู้มีบทบาททั้งในวงการศาสนา และแวดวงวิชาการ ตลอดจนแง่มุมที่น่าสนใจอื่นๆ อันเนื่องมาจากสงครามและการใช้ความรุนแรง ทั้งในระดับโลก และระดับประเทศ
น่าเสียดาย ที่เรามีเวลาน้อยเกินไป กระทั่งไม่สามารถนำเสนอ สงครามทั้ง ๓ ที่รัฐบาลไทยประกาศในประเทศ เปรียบเทียบกับ สงคราม ซึ่งสหรัฐอเมริกาใช้รุกรานเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ และอวดโอ่แสนยานุภาพ ว่าถึงที่สุดแล้ว มหาอำนาจหนึ่งเดียวในโลก กับรัฐบาลเผด็จการทุนนิยม ผู้ยึดกุมรัฐสภา ใครจะใช้อำนาจและความรุนแรงได้บูรณาการยิ่งกว่ากัน และ
ใครจะเป็น อาชญากรสงคราม ได้น่ารังเกียจยิ่งกว่ากัน
.... .... ....
หลังจาก เสขิยธรรม เล่มที่แล้วถึงมือผู้อ่าน กลุ่มเสขิยธรรม มีกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกอย่างมากมาย และหลากหลายเป็นพิเศษ
วันที่ ๒๐ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๖ ร่วมกับเครือข่ายชาวพุทธฯ กลุ่มศาสนิกชนชาวไทยฯ และมูลนิธิโกมลคีมทอง จัดงานเสวนาและการภาวนาระหว่างศาสนา ขึ้นที่ลานหอยเสียบ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของพี่น้องมุสลิมและพุทธศาสนิกชน เพื่อคัดค้านโครงการท่อก๊าซ ไทย มาเลเซีย บรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ ความเป็นกัลยาณมิตร และไมตรีจิต ที่ผู้นำศาสนา กับเพื่อนศาสนิกได้ทำกิจกรรมร่วมกัน นับเป็นบุพนิมิตที่น่าสนใจและน่าประทับใจอย่างยิ่ง ดังที่แตกดอกออกผลเป็นกิจกรรมสืบเนื่องต่อมาอีกหลายครั้ง
วันที่ ๒๖ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๖ กลุ่มเสขิยธรรมร่วมกิจกรรมกับกลุ่มผู้คัดค้านเขื่อนปากมูล ซึ่งชุมนุมอยู่ที่ถนนนครปฐมใกล้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และวัดเบญจมบพิตร โดยจัดพระภิกษุไปรับบิณฑบาต บรรยายธรรม และฉันภัตตาหารในบริเวณที่ชุมนุม ตลอดจนเตรียมการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ร่วมกับตัวแทนคริสตศาสนิกชน และอิสลามิกชน ตลอดจนร่วมกับเครือข่ายชาวพุทธฯ และกลุ่มศาสนิกฯ เตรียมจัดกิจกรรมภาวนา และเสวนาในหัวข้อ ศาสนธรรมกับความรุนแรง ในเย็นวันที่ ๒๙ มกราคม
น่าเสียดาย ที่สายวันนั้นเอง กองกำลังเจ้าหน้าที่เทศกิจ ภายใต้การกำกับของนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ด้วยความเห็นชอบของรัฐบาล ได้ลุแก่อำนาจ อ้างกฎหมายท้องถิ่นละเมิดรัฐธรรมนูญ รื้อถอนเพิงพัก และขับไล่ผู้ชุมนุมที่ปราศจากทางต่อสู้ บังคับให้กลับถิ่นฐาน หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมต้องเดือดร้อนจากการตัดน้ำตัดไฟตามคำสั่งของรัฐบาลมาแล้วหลายวัน
จากนั้น กลุ่มเสขิยธรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มูลนิธิโกมลคีมทอง และเครือข่ายชาวพุทธฯ ได้จัดกิจกรรมเสวนาขึ้นอีกครั้ง ในหัวข้อ สิทธิ น้ำใจ และเมตตาธรรม : ถามหาจากโอกาสในการชุมนุม ขึ้นที่ห้องประชุม ชั้น ๔ อาคารเอนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อสอบทานถึงโอกาสในการชุมนุมทางการเมือง ของผู้ด้อยโอกาส ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง หลังจากรัฐบาลประกาศไม่อนุญาตให้มีการชุมนุมทางการเมือง และพักค้างคืนในบริเวณใกล้เคียงกับทำเนียบรัฐบาลอีกต่อไป
และล่าสุด กลุ่มเสขิยธรรม ได้จัดกิจกรรมระดมทุน เพื่อใช้จัดกิจกรรม และสนับสนุนกระบวนการเรียนรู้ของสมาชิก โดยจัด ผ้าป่าเสขิยธรรม ครั้งที่ ๒ ขึ้นที่วัดสวนแก้ว อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี โดยมี พระพิศาลธรรมวาที เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต และอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ อีกทั้งในวันดังกล่าว ยังมีการเสวนา หัวข้อ บุญทางสังคม : ทำอย่างไรให้ได้บุญ ขึ้นอีกด้วย
กิจกรรมการระดมทุนดังกล่าว แม้จะมีเวลาดำเนินการในระยะสั้น เนื่องจากหลายคนในกลุ่มฯ ต้องทำกิจกรรมประเด็นร้อนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนศาสนิก ผู้มีความเข้าใจ และเห็นด้วยกับแนวทางของ กลุ่มเสขิยธรรม อย่างกว้างขวาง ดังปรากฏในรายชื่อและจำนวนเงินบริจาคกว่าสี่แสนสี่หมื่นบาท ซึ่งผู้อ่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://skyd.org เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ กลุ่มเสขิยธรรม
.... .... ....
สิ่งที่จดหมายข่าว เสขิยธรรม นำเสนอ และกิจกรรมต่างๆ ที่ กลุ่มเสขิยธรรม จัดขึ้น จะว่าไปแล้ว ก็มิใช่เรื่องใหม่ หากเป็นสิ่งที่หลายคน หรือหลายกลุ่มเคยกระทำ และยังกระทำกันมาอย่างต่อเนื่อง นั่นคือการนำเสนอความจริงให้ปรากฏ ภายใต้กรอบคิดและแนวทางอันเนื่องอยู่กับหลักศาสนธรรม ซึ่งแม้ว่าจะระคายเคือง หรือไม่ถูกอกถูกใจต่อผู้มีอำนาจที่เห็นต่างออกไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นภารกิจที่เราจำเป็นต้องกระทำ ต้องทุ่มเทร่วมมือกันกระทำ หากยังหวังให้ชีวิตและสังคมมีความสงบสุข มีสันติภาพ และดำเนินไปได้ด้วยทำนองคลองธรรม อย่างที่ควรจะเป็น
เสขิยธรรม ฉบับนี้ก็เป็นอีกก้าวหนึ่ง ที่ยืนยันถึงความตั้งใจและมุ่งมั่น ที่จะนำเสนอการประยุกต์ใช้หลักศาสนธรรมเพื่อชีวิตและสังคม..
|