เสขิยธรรมฉบับที่ ๕๕
สุภาพร พงศ์พฤกษ์
ทุกวันนี้ฉันก็ว่าสุขภาพตัวเองอยู่ดีเป็นปกตินี้แหละ แม้จะเกิดภาวะคุณมะเร็ง รุกไล่เอา แต่หมู่นี้เป็นไงไม่รู้ เพื่อนฝูงชักจะแวะเวียนมาเยือนมากหน้าหลายตา กลายเป็นความคึกคักหนักแน่นด้วยแรงใจที่มีให้กัน ในท่ามกลางบรรยากาศของการลุ้นสุขภาพ
ที่ไม่เคยเจอะเจอกันเจ็ดแปดปี อยู่กันคนละทิศคนละทางก็ให้มีอันจับพลัดจับผลูมาโผล่ที่บ้านมาเจอกันได้
การเจอะเจอกันบ้าง หรือการกระชับความสัมพันธ์หมั่นถามไถ่กัน จึงเป็นเรื่องที่มีความหมายยิ่งนักในสายสัมพันธ์กัลยาณมิตร อันเป็นชุมชนของเราแต่ละคน
พี่ติ่ง (อ.เครือมาศ วุฒิการณ์ ผู้เป็นแม่งานจัดธรรมคีตาครั้งที่หนึ่งของประเทศไทย ที่เชียงใหม่เมื่อสองปีที่แล้ว) พี่ที่รักที่ต้องจากไปอย่างไม่คาดหมาย ไม่น่าเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง
พี่ติ่งเธอผู้เป็นความดี ความงาม ความผ่องใส มีชีวิตชีวาและเป็นผู้เอื้อต่อการเติบโตงอกงามของกิจกรรมสร้างสรรค์ให้กับผู้คนรอบข้าง เธอเป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม่
เธอโทรมาหาฉันข้ามจังหวัดจากเชียงใหม่ เมื่อทราบข่าวปากต่อปากว่าฉันเข้าโรงพยาบาล ซึ่งก็น่าตกใจอยู่เหมือนกันเพราะเป็นที่รู้กัน ในหมู่เพื่อนว่าฉันเป็นพวกกลัวโรงพยาบาล ไม่ต่างจากพวกกลัวความสูง กลัวที่แคบอะไรอย่างนั้น
ค่ะฉันไปอยู่โรงพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำในเรื่องการเพิ่มภูมิต้านทาน ด้วยการอดอาหารภาวนาและฝังเข็ม
|
|
|
|
...ธรรมดาการป่วยไข้ก็ต้องมีด้วยกันทุกคน ที่นี้ไอ้การป่วยชนิดที่ยังทำงานได้ ก็ไม่เรียกว่าเป็นการป่วย เรียกว่าเป็นเวลาที่ปกติของมนุษย์ทั้งหมดนี้ ทั้งโลกนี้ แต่ที่แท้จริงแล้วการที่ยังปกติไม่เจ็บไม่ไข้ ก็เป็นการป่วยอยู่ในตัวเหมือนกัน แต่ว่าคนตามธรรมดาเราไม่รู้เรื่อง ว่าเป็นการเสื่อมของรูปธรรมนามธรรมทุกขณะทีเดียว งั้นไอ้การเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ ที่ยังมีเรี่ยวมีแรงทำอะไรได้นั้น มันเป็นความประมาทมาก สู้คนที่นอนป่วยไม่ได้
คนที่นอนป่วยนี้ดีนัก เพราะจะได้มีการพิจารณาทุกข์อย่างเดียว จิตมันไม่เอาอะไรเลย มันไม่ไปไหนเลย มันได้พิจารณาทุกข์อยู่เป็นประจำ แล้วก็ได้ปล่อยทุกข์อยู่เป็นประจำเหมือนกัน มันผิดกัน ตรงกันข้ามกัน ไอ้จิตว่างขณะทำอะไรวุ่น ๆ วาย ๆ น่ะมันว่างเล่น ๆ ไม่ได้ว่างจริงหรอก
แต่ในขณะที่เราได้พิจารณาถึงความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนอยู่กับเนื้อกับตัว เวลานี้กำลังนอนพิจารณาอยู่ นี้เป็นประโยชน์มากที่สุด อย่าไปมองว่าตัวเองเจ็บ แล้วก็มองให้เห็นรูปนามนี้เสื่อมไป สิ้นไป เสื่อมไปสิ้นไปอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่ตัวเรา ของของเราจริงจัง
มันบังคับไม่ได้ ดูซิเราบังคับมันได้ที่ไหน แล้วทุกคนในโลกทั้งคนทั้งสัตว์ เหมือนกันหมด ไม่ใช่ว่าเราเป็นอยู่คนเดียว ฉะนั้นไอ้การเป็นโรคอะไรทางกายมันไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่โลกทางจิตใจ...
คุณแม่ ก. เขาสวนหลวง ราชบุรี
ธรรมโอสถสำหรับผู้ป่วย (ม้วนที่๑)
วันที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๘
|
|
|
|
|
|
|
เธอเขียนจดหมายถึงฉัน ที่ฉันเองก็ไม่คาดว่าจะเป็นจดหมายฉบับท้ายสุดของเธอ
พรเจ้า
พี่ส่งหญ้าแห้วหมูบดละเอียดมาให้ทานค่ะ เป็นยาช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน ที่ทางเหนือใช้กัน ......
รัก
พี่ติ่ง
ห่ออย่างดีใส่กล่องมาให้ต่างใจ ลายมือประจงประณีต ไม่ว่าจะมีเวลามากหรือน้อย
พี่ติ่งผู้อยู่ไกลถึงเชียงใหม่ จากไป โดยที่เราทั้งสองฝ่ายไม่คาด ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า เราก็จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เธอเพิ่งรู้ว่าตัวเองมีโรคาพยาธิคู่กายคือไทรอยด์ และเธอก็จากไป อันเนื่องมาจากไทรอยด์เป็นเหตุปัจจัย
เราจะไม่ได้ยิ้มแย้ม กับการอ่านเนื้อถ้อยกระทงความทางจดหมาย ที่ถามไถ่ถึงกันปีละหลาย ๆ ฉบับ ในยุคของอีเมล
อดที่จะใจหาย เมื่อสุรภี เพื่อนสนิทส่งเสียงมาตามสายแจ้งข่าว เธอยังเจริญมรณสติดีอยู่ใช่ไหม ทำใจดี ๆ นะ ฉันรู้ว่าพี่ติ่งมีความหมายกับเธอมาก รู้สึกวาบโหวงวังเวงอย่างยากที่จะเชื่อ
เทวฑูตแห่งอนิจจังของชีวิต สำแดงตนอีกครั้งในปรากฏการณ์สามัญ ที่ใกล้ตัวรุกล้อม หรือจ่อหน้ามาประชิดอีกฉากหนึ่งแล้ว
เมื่อฉันมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ได้พยายามที่จะถามไถ่ข้อมูลว่า จะทำอย่างไรดีกับคุณก้อนมะเร็งตรงหน้าอก ที่ทำท่าว่าจะเติบใหญ่อย่างหยุดไม่ได้ และวันหนึ่งคุณท่านก็ออกมาทักทายโลกภายนอก (เต้านมของฉัน) และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเติบโตในวิถีของเขา
กัลยาณมิตรรุ่นพี่ ที่เคยศึกษาค้นคว้าเรื่องสมุนไพรมาก่อน ก็คุยมาทางโทรศัพท์ มันไปไกลความรู้ของพี่เสียแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามกัลยาณมิตรผู้คุ้นเคยก็ส่งโอสถมาให้ทางไปรษณีย์ ไม่ใช่ตัวยา ไม่ใช่สูตรยาที่จะใช้กับก้อนเนื้อโดยตรง แต่ใช้กับชีวิตทั้งชีวิตทีเดียว คือบทมรณสติ
จำได้ว่าเมื่อฉันมีมะเร็งกลับมาเยือนอีกครั้งหนึ่ง (สี่ปีที่แล้ว) พี่ก็เขียนมาบอกว่าเป็น โอกาสสำคัญที่พี่จะคุยกับพรเรื่องความตาย...
แต่ครั้งกระนั้นฉันคงยังไม่คิดว่าตัวเองจะตายอย่างทันทีทันใดกระมัง เรื่องสำคัญเรื่องนี้จึงแว่วจางหายไป
ฉันก็ยังทำตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ ส่วนมากในหมู่ชน ที่ประมาท ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องตายเร็ว แม้ฉันจะเป็นมะเร็งก็ตาม ความคิดด้านบวกแบบตะวันตกดูจะเข้ามาครอบคลุมที่ทางที่เป็นทัศนคติต่อชีวิตเสียหมด
ก็ยังปกติดีนี้คะ ยังรู้สึกว่าตัวเองสบายดี แข็งแรงมีสุขภาพมากกว่าคนรอบข้างด้วยซ้ำ
พรยังประมาทอยู่
ฉันไม่คาดหรอกว่า กัลยาณมิตรจะโต้กลับมาอย่างนั้น ท่านผกโผนลีลาฉับพลัน ผันไปใช้ภาษาธรรมทันที เป็นการให้อนุสติต่อฉัน ทุกคนรวมทั้งตัวฉันคิดว่าตัวเองต้องตาย แต่มักไม่คิดว่าตัวเองอาจจะตายในชั่วลมหายใจขณะต่อไปนี้แหละ เราจึงไม่เห็นกระบวนทุกข์ ที่สำแดงทางร่างกาย กายที่ต้องเสื่อมสลายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่เห็นทุกข์จริง ๆ
เราจึงคิดว่า ยิ่งในยุควิทยาการทางด้านการแพทย์เจริญก้าวหน้าอย่างนี้ ยุคที่ผู้คนไม่ยอมรับความแก่ชรา และยืดเตะถ่วงความตาย ดังว่าเราจะไม่ตายกันอีกแล้ว ยังพยายามต่อสู้กับพญามัจจุราช ผู้มีเสนามาก เรายังมีจิตที่พึ่งพิงสิ่งภายนอกที่ดลบันดาลโดยวิทยาการแห่งยุคสมัย
หนนี้การส่งสัญญาณของคุณมะเร็งเธอ จึงถึงคราที่ฉันจะต้องระดมความเพียรจริงๆ เพื่อเจริญมรณสติ มีด้วยกันสิบข้อค่ะ
บทมรณสติสำหรับเราทุกคน
หนึ่ง ความตายเป็นสิ่งแน่นอน
สอง ความตายนั้นไม่แน่นอนว่าจะมาเมื่อไหร่
สาม ความตายเวลาจะมา ไม่เคยส่งสัญญาณเตือนมาก่อน
สี่ เวลาที่เราคิดว่าความตายจะมาได้ มันก็มาแล้ว
ห้า มีปัจจัยมากมายเหลือเกิน ที่ทำให้ร่างกายแตกสลายได้
หก แม้ปัจจัยที่ทำให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ก็ทำให้ร่างกายนี้แตกสลายได้
เจ็ด ร่างกายนี้อ่อนแอพร้อมเสมอที่จะแตกสลาย
แปด ทุกขณะที่ผ่านไปความตายก็ถอยร่นเข้ามา
เก้า ชีวิตนี้สั้นนักเหมือนน้ำน้อยในบ่อโคลน
สิบ มีแต่กุศลและอกุศลธรรมเท่านั้น ที่ตามติดตัวไปเมื่อร่างกายนี้แตกสลายแล้ว
น้อยนักยากนักที่เราจะได้มีโอกาสคุยกัน หรือให้สติกันในเรื่องความตาย ฉันโชคดีที่ดูเสมือนว่าเพื่อน ๆ เกือบทุกคนเข้าใจและปฏิบัติธรรม พร้อมที่จะชักชวนกันนั่งสมาธิ หรือเดินอย่างมีสติ
ความตายของพี่ติ่งและความเป็นไปของมิ่งมิตรรอบข้างก็พอที่แสดงให้เราเห็นอยู่เนือง ๆ ถึงความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง
พี่หน่อย (สุพาพร ธารินเจริญ) ผู้เปล่งเสียงดังระฆังเงิน คอยให้กำลังใจฉันอยู่เสมอ ในฐานะที่เราเคยทำงานกับผู้อพยพในค่ายผู้ลี้ภัย ที่เดียวกันมาก่อน พี่ผู้กระตุกใจให้ได้มาเข้าการอบรมอานาปานสติของคุณแม่รัญจวน ที่เสถียรธรรมเมื่อหลายปีที่แล้วจู่ ๆ พี่หน่อยก็รู้ว่าตัวเองก็เป็นมะเร็งด้วยเช่นกัน และออกเดินทางไกลล่วงหน้าฉันไป
ดังนั้นคำถามของท่านแม่ชีศันสนีย์จึงแยบคายละเอียดอ่อนยิ่งนัก เอ๊า ใครบ้างที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งหรือเปล่า ให้ยกมือขึ้น
แล้วก็พี่ติ่ง ผู้ไม่มีวี่แววว่าจะจากไปก่อนหน้าฉันเลย ความตายเป็นสิ่งแน่นอน และเราก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความตายจะมา
ฉันได้ท่องจำทั้งสิบข้อ โดยที่คิดว่าสงสัยจะไม่ค่อยจำ แต่กลับพบว่าเป็นเรื่องง่ายด้วยซ้ำ ไม่เชื่อก็ลองท่องดูซิคะ เป็นการปลูกสัญญาและใคร่ครวญอยู่เนือง ๆ ใช้พิจารณาเหตุการณ์ที่เข้ามาในแต่ละวัน โดยใช้การพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของคุณก้อนเนื้อมะเร็ง บางครั้งก็มีกำลังจิต บางครั้งก็กระวนกระวาย แต่ทั้งหมดคือการทำให้ตัวเองเห็นอนิจจังอย่างดีที่สุดเท่าที่ฉันพอจะมีปัญญาทำได้
และที่มีความหมายมากสุดคือ ใช้ในการพิจารณาใจของตัวเอง จิตที่หลอกล่อพะนออัตตาเพราะมักแอบมีความหวังอยู่เสมอว่า เราจะต้องไม่ตายพรุ่งนี้มะรืนนี้หรอก แล้วความที่ว่า ความตายนั้นไม่แน่นอนว่าจะมาเมื่อไหร่ ก็จะมากำกับไว้ เผลอไม่ได้เชียวทั้งประมาท และไม่มีสติ แถมยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (ใหญ่ ค่ะ เก่ง พิเศษ ทำบุญไว้เยอะ เคยผูกดวงไว้แล้ว สารพัดที่จะมาพะนออัตตา) ว่ายังไม่ตายวันตายพรุ่งอีกต่างหาก
แม้นการจากไป และความเป็นไปของกัลยาณมิตร ผู้เป็นพี่ที่รักทั้งสองท่าน อย่างไม่คาดหมาย ก็ช่วยให้เป็นอนุสติที่เลื่อนลึกเข้าไปในใจว่า มีแต่กุศลและอกุศลธรรมเท่านั้น ที่ตามติดตัวไปเมื่อร่างกายนี้แตกสลาย
ฉันก็เลยเข้าใจแล้วหล่ะว่าทำไม เหล่ากัลยาณมิตรถึงได้แสดงความยินดี แวดวงฉันนี้ออกจะไม่ค่อยไปกันด้วยดีกับชาวบ้านร้านถิ่นทั่ว ๆ ไป
หนอยแน่อาการคุณมะเร็งกำเริบ กลับบอก ยินดีด้วย จะได้ปฏิบัติธรรมขั้นสูง
การเปลี่ยนแปลงของสังขาร (ทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นก้อนเนื้อ อาการเจ็บ อาการกังวล อาการประมาท อาการหลีกหนีความจริง) กายนี้ของฉัน จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าเศร้าหมอง จะมีใครมีโอกาสได้ระดมความเพียร อย่างเป็นจริงได้เท่าผู้ที่ความตายมาจ่อหน้า อย่างเรา ๆ ที่มีมะเร็งหรือโรคาพยาธิใด ๆ ไหน ๆ ก็มีคุณมะเร็งมาเป็นเทวฑูตให้แล้ว จะได้เจริญมรณสติด้วยกันไงคะ
ฉบับต่อไปจะเล่าให้ฟัง ถึงประสบการณ์การอดอาหารสามสิบห้าวัน และการภาวนา เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานของผู้เขียนค่ะ
สุภาพร พงศ์พฤกษ์
๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๕
|