เสขิยธรรมฉบับที่ ๔๙ ครูข้างทาง
พี่ต้อยที่เคารพรัก
ขออภัยที่ตอบจดหมายพี่ช้าเกินไป เรื่องของเรื่องคือ หนูได้ไปเที่ยวศรีลังกามาด้วยความบังเอิญค่ะพี่ต้อย
.... .... ....
เมื่อเดือนก่อน เพื่อนหนูตามหาตัวหนูให้ควั่ก ขณะล่ารายชื่อพลพรรค ที่จะร่วมขบวนไปนมัสการพระเขี้ยวแก้ว ที่ศรีลังกากัน แต่หนู ได้ทิ้งบ้านทิ้งช่อง ชนิดที่เจ้า หมีตุ๊ สุนัขที่บ้านเคือง แบบ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่กระดิกหาง เพราะหนูหนีไปเที่ยวทะเลกับลูก ๆ ถึง ๒๑ วัน
กลับมาถึงเพื่อนรีบอวดแบบถล่ม ๆ ว่า พวกเรากำลังจะเดินทางไปศรีลังกา โธ่
หนูอยากไปศรีลังกาที่สุดเลย แต่ก็เจียมเนื้อเจียมตัว เพราะเพิ่งกลับมาถึงบ้าน แต่แล้ว
ที่ไหนได้
พี่ต้อยขา อีกแค่ ๓ วันเท่านั้น เพื่อนคนเดิมก็โทรฯ มาร้องห่มร้องไห้ บอกหนูด้วยความรักและบังคับข่มขู่ว่า เธอต้องไปนมัสการพระเขี้ยวแก้วแทนฉันแล้วล่ะ พ่อฉันอยู่ไอซียู ความดันเหลือแค่ ๓๐ เท่านั้น!!
หนูไม่รู้ว่า ตัวเองรู้สึกอย่างไรตอนที่ได้ยิน
บอกไม่ถูกจริง ๆ มันทั้งตกใจ ใจหาย สงสารเพื่อน ผสมดีใจที่ในที่สุดก็จะได้ไปแบบแปลกประหลาด งง ๆ ไม่แน่ใจว่าฟังผิดรึเปล่า
เพื่อนสาธยายต่อไปว่า เพื่อนได้จ่ายสตางค์เขาไปหมดแล้ว ถ้าไม่มีใครไปแทนก็คือ สูญเงินทั้งหมด แต่ถ้าหนูไปแทน เพื่อนจะเสียเฉพาะค่าเปลี่ยนชื่อในตั๋วเรือบินเท่านั้น เงินที่เหลือ หนูไม่ต้องรีบร้อนให้เพื่อนหรอก ผ่อน ๒ ปีก็ยังได้
ทำไมต้องเป็นหนู
เพื่อนตอบว่า เพราะเธอมีจริตที่พร้อมจะทิ้งลูก สามี การงาน และทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยพลัน
อ๋อ
เพื่อนชม
ภาษาที่หนูแอบพูดเฉพาะเวลาไปอยู่วัดไม่กล้าพูดกับเพื่อนแวดวงอื่น ๆ นั้นคือ ธรรมะจัดสรร โดยแท้
จากนั้นหนูก็เริ่มเก็บของอย่างงง ๆ เหมือนกินยาแก้หวัดแล้วสมองเบลอ ไม่ค่อยมีสติสตังสักเท่าไหร่
มิหนำซ้ำอภิชาติบุตร อภิชาติสามีก็ทำให้หนูละอายใจซ้ำสอง ด้วยการร่วมยินดีที่หนูจะได้เดินทางชนิดสายฟ้าแลบ ลูกบอกว่า แม่ไปไหว้พระให้สบายใจเถิดค่ะ ส่วนสามีก็ว่า ไปเถอะ เป็นโอกาสของเธอ ฉันดีใจแทนเธอจริง ๆ หนูยังแอบคิดว่า หากสลับที่กัน สามีได้ไปเที่ยวแทนเพื่อนกระทันหันแบบนี้ หนูจะแอบค้อนเขา ๒๓ ที ไม่ให้เขารู้ว่าหนูอิจฉา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มละไมแบบประชด ๆ ว่า ขอให้เที่ยวให้สนุกนะจ๊ะ (ส่วนฉันจะก้มหน้าก้มตางุด ๆ ดูแลลูก ๆ เอง!) จิตใครเป็นอย่างไรดูเอาเองเถิดค่ะ!!
.... .... ....
ก่อนหน้าที่หนูจะไปศรีลังกา หนูได้พล็อตที่จะเขียนลงหนังสือพระเล่มหนึ่ง โดยบังเอิญค่ะพี่ต้อย ซึ่งจะว่าไปเป็นเรื่องที่หนูอยากเล่าให้พี่ต้อยฟังมาก เพราะพี่ต้อยคงเข้าใจหนูมากกว่าคนอื่น
หนูบอกสามีไว้ล่วงหน้า ว่าเรื่องที่จะเขียนชื่อ ครูข้างทาง สำนวนการเขียนที่พี่ต้อยจะอ่านต่อไปนี้ไม่ สบาย ๆ แบบที่เขียนถึงพี่ต้อยหรอกนะคะ เพราะพอนึกว่า มีบรรดาหลวงพี่อ่านสิ่งที่ถอดจากใจเราไปอยู่บนหน้ากระดาษ มันมักจะเกร็งและหวาด ๆ ชอบกล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เรื่องมันทื่อ ๆ แบบนี้ค่ะ
.... .... ....
ระยะทางเกือบยี่สิบกิโล ที่ฉันและลูก ๆ ต้องเดินทางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น มันเป็นเส้นตรงแสนหน้าเบื่อ อาศัยว่าเราช่วยกันขับไล่ความเบื่อด้วยการชี้ชวนกันดู ดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ท้องนา ยิ้มแย้มให้ฝูงควายและรู้สึกดีกับชีวิตทุกครั้ง ที่ไม่ต้องอยู่เมืองหลวง ตกเย็นก็ชี้ชวนกันดูพระอาทิตย์ตก หรือวิวสวยแบบโปสการ์ดยามเย็นแถว ๆ กิโลเมตรที่ ๗
แต่เย็นนี้ต่างจากทุกเย็น
มีอึดใจหนึ่ง ที่ทั้งฉันและลูกทั้งสองคน นั่งกันตัวเกร็ง เงียบกริบ
หมาสองตัวค่ะ มันถูกรถชนตาย นอนห่างกันสักเมตรหนึ่งเห็นจะได้ หมาสีน้ำตาลธรรมดา ๆ ไม่มีสิ่งใดพิเศษน่าเสียดาย ๒ ตัว นอนตายข้าง ๆ เกาะกลางถนน
และนั่นคงเป็นเหตุให้เกิด อาการ ธุระไม่ใช่ ของคนที่ผ่านไปผ่านมารวมทั้งฉัน ที่ปล่อยให้ร่างมันนอนเคียงคู่กันเช่นนั้นนานพอดู
วินาทีที่ว่า แม้ฉันกับลูกจะไม่ได้มองหน้ากัน แต่เรามาพูดกันทีหลังว่า เราต่างก็แผ่เมตตาให้มันด้วยความชำนาญการ เพราะตั้งแต่กรมทางฯ ขยายถนนจาก ๒ เลนแบบชนบท เป็น ๔ เลนแบบ เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาแล้ว! นั้น ภาพที่เราเห็นจนคุ้นตาในปีแรกคือ ภาพกระทง ส่งวิญญาณ ทำจากใบตอง ปักตุงสีแดงแจ๋ ที่ญาติโยมของคนตายนำมาถอนวิญญาณผู้ล่วงลับเหล่านั้น ออกจากถนนและวิงวอนให้พวกเขาไปสู่สุคติ
และอีกภาพที่เห็น แม้ไม่เศร้าและใจหายเท่ากับแรก ก็คือภาพบรรดาสุนัขที่นอนตายให้เห็นกันเกลื่อนกลาด แต่โดยมาก มันมักจะตายแถว ๆ เลนซ้าย จึงจะทำให้บรรดาชาวบ้านที่ขี่มอเตอร์ไซคล์ ต่างอดรนทนไม่ไหวต้องลากมันเข้าพงหญ้า ให้พ้นจากความอุจาดตา
แต่นี่มันไม่ได้ขวางทางใครเลยสักนิด
ตอนแรกฉันไม่สบายใจ กลัวบรรดารถสิบล้อจะเหยียบย่ำมันจนแหลกเหลว
แต่ที่ไหนได้ มันอยู่ให้เราเห็น ให้เราปลง ให้เราได้ขนลุก ให้ฉันได้บอกตนเองว่า อีกสองกิโลจะถึงบ้าน ให้ฉันได้เพ่งมองมันชัด ๆ อย่างที่ไม่เคยมอง หมาตาย ที่ไหนเช่นนี้มาก่อน อยู่นานครัน
หลังจากเย็นแรกที่เราเห็นมัน และแผ่เมตตา (ให้เราเองรู้สึกค่อยยังชั่ว) โดยมิพัก เท่าทันว่าจิตมันได้หลุดผลัวะไปชนิดที่เจ้าตัวก็คงไม่ทันได้รู้ตั้งนานมาแล้วนั้น วันต่อมา ฉันยังเห็นมันนอน เหมือนเนื้อตัวมันยังนิ่ม ๆ อยู่
มองกันทุกวัน ดูกันทุกวัน จนตัวมันขึ้นอืด ขากางชี้ฟ้าทั้งสองตัว ยังดีที่ไม่ได้นอนท่าเดียวกัน ไม่งั้นมันคงสะดุดตากว่านี้
มาถึงวันที่น้ำเหลืองน้ำหนองไหลนองเป็นสายจากตัวมัน ลาดลงไปทางเลนซ้าย ถนนคงจะเอียงละซีท่า..... รถติดแอร์ทำให้เราไม่ได้อุดจมูกกัน แต่ความอืดพองตึงเปรี๊ยะ ก็ทำให้สยองเกล้าแและรู้สึกเหม็นทั้งที่ไม่ได้กลิ่น คงเพราะจำได้แม่นว่า อึดแล้วต้องเหม็นจนแทบอาเจียน จึงจะครบวงจร!
ตัวมันเริ่มแตก ด้วยไปถึงที่สุดของความอืดเป่ง
สองสามวันต่อมา ฝนตก เห็นมันราง ๆ ดูมันแฉะ ๆ เละ ๆ พอฝนหาย ดูมันยังเปียกและเน่าเฟะ แปลกจัง! ฉันเห็นฟันมันทั้งปากชัด โดยเฉพาะเจ้าตัวที่นอนถัดไป เหมือนมันแยกเขี้ยวสู้ตอนตายไม่มีผิด
แดดเปรี้ยงอยู่หลายวันหลังจากนั้น ตัวมันเริ่มยุบ และแห้ง เห็นโครงกระดูกชัดแจ๋ว
จู่ ๆ ขนฉันก็ลุกซู่ ชั่วลมหายใจแว่บหนึ่งนั้น เกิดการหลอมรวมเจ้ากองกระดูกไร้ค่า กองนั้นเข้ากับเนื้อวิญญาณตัวเองอย่างไม่มีวันแยกออกจากกันได้ชั่วชีวิต
จนขับรถถึงบ้าน ฉันยังพบว่าขนที่คอตัวเองยังลุกไม่หาย โถ.....เจ้ากองกระดูกริมทาง
ฉันพบว่าจิตฉันอยู่ในร่างของเจ้ากองกระดูกริมทาง
ตกดึก แว่บหนึ่ง ฉันนึกขำกลิ้งกับปัญหาในที่ทำงาน ที่หลายวันก่อนต้องลุกขึ้นมาเครียดตอนตีสาม เสียเกือบตาย !!
.... .... ....
เรื่องราวก็มีเท่านี้ค่ะพี่ต้อย เวลาหนูเกิดอาการอีโก้จัด นึกว่าตัวเองวิเศษกว่าเขาอื่นเมื่อใด หนูได้แต่หวังใจ เพียงว่าคงพอจำความเป็นแค่กองกระดูกริมทางของตนได้บ้าง - - -
ที่จริงมีเรื่องโม้เกี่ยวกับการไปเที่ยวศรีลังกา เมืองพุทธเถรวาท ที่ในสายตาของคนช่างวิจารณ์อย่างหนู รู้สึกได้ถึงความ แสนจะไม่รุงรัง ที่ได้สัมผัสและน้อมเข้ามาในชีวิต
อยากเล่ารายละเอียดให้พี่ต้อยฟัง แต่ดูเหมือนมือใกล้จะหักเต็มที อ้อ
แถมท้ายอีกนิด วันที่หนูกลับมาจากไปเที่ยวนั้น หนูพบกองอะไรไม่ทราบ เหมือนขยุ้มของผ้าขี้ริ้วสีน้ำตาลขมุกขมอมมาก ๆ ๒ กองแทนกองกระดูกข้างทาง
และขณะนี้จะต้องจบจดหมายด้วยความรักเคารพอย่างที่สุด เพราะหนูต้องรีบไปงานเผาศพคุณพ่อของเพื่อนคนที่หนูให้ไปทำภารกิจไหว้พระ ที่ศรีลังกาแทนเขาค่ะพี่ต้อย
รัก
วดีลดา เพียงศิริ
|