พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ 'วิปลาส'
ไทยโพสต์แทบลอยด์
เรื่องปก ๑ สิงหาคม ๒๕๔๗
กองบรรณาธิการ
'วิปลาส แปลว่า คลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น ในพจนานุกรมบอกว่าเสียสติ แต่สติในที่นี้ความหมายทางศาสนาคือระลึกได้ เสียความระลึกได้'
ประธานกลุ่มเสขิยธรรม กลุ่มพระหนุ่มที่ทำงานเพื่อสังคม หรือ "พระเอ็นจีโอ" ก็ว่าได้ พระกิตติศักดิ์เคยทำงานการเมืองมาก่อน หลังเรียนจบจากลาดกระบัง และรามคำแหง โดยไปช่วยงานวีระ มุสิกพงศ์ คนพัทลุงด้วยกัน สมัยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ แล้วมาอยู่พรรคความหวังใหม่ รวมทั้งเคยทำงานให้พรรคพลังธรรม สมัยพฤษภาคม ๒๕๓๕ ก็ช่วยจัดเวทีปราศรัยให้ "จิ๋ว" ที่หน้ารัฐสภา เรียกว่ากับคนไทยรักไทยในปัจจุบันก็คุ้นหน้ากันเยอะ ทั้งที่เคยอยู่ความหวังใหม่และพวกนักกิจกรรมนักศึกษาสมัยอดีต
หลังเลือกตั้ง ๒๕๓๕/๒ ท่านจึงมาบวชและไปศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังที่สวนโมกข์ แล้วไปอยู่สำนักสงฆ์ที่เชียงใหม่
"ก็เห็นทุกข์เห็นโทษ" พระกิตติศักดิ์บอกว่าตอนแรกยังมีอุดมคคิ มีความหวังกับการเมืองว่าน่าจะมีน้ำดีอยู่บ้าง แต่เข้าไปแล้วก็เห็นความจริงว่าเป็นอย่างไร จึงเลือกเดินทางสายพระศาสนาดีกว่า
ปัจจุบันท่านบอกว่าอยากปฏิบัติธรรมและทำงานทางสังคมมากกว่า ไม่อยากวิจารณ์การเมือง แต่เลี่ยงไม่ได้
"ใจจริงไม่อยากจะออกมาเคลื่อนเรื่องพวกนี้เลย ในแง่หนึ่งมันเกิดผลกับตัวเราเองด้วย ถ้าไม่ระมัดระวังใจตัวเองให้ดีก็เร่าร้อน ถ้าภาวนาไม่พอมันก็จะยึดมั่นถือมั่น เหมือนอย่างคุณมาสัมภาษณ์เรา เราจะยึดมั่นถือมั่นว่าเราสำคัญก็ได้ แต่ในแง่หนึ่งเราถือว่าถ้าสิ่งที่เราพูดแล้วคนได้ยินไม่ทั่ว ถ้ามันผ่านสื่อไปมันก็สามารถที่จะแพร่หลายออกไปได้ เพราะฉะนั้นทั้งหลายทั้งปวงถือว่าทำกุศลกัน เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง"
"สาเหตุที่ต้องวิจารณ์คุณทักษิณ เพราะว่าระบบคุณทักษิณคอนเซ็ปต์มันอยู่ที่คุณทักษิณ แต่ถ้าโดยทั่วไปเราจะไม่วิจารณ์ที่คน เพราะมันง่ายที่จะเป็นความยึดมั่น ตัวกูของกู แต่คุณทักษิณนี่ไม่รู้จะทำยังไงเพราะคุณทักษิณเป็นตัวแทนของระบบเลย"
บอกว่าที่ท่านมักจะพูดแรง ก็เพราะรู้สึกว่าบางทีสำหรับบางคนก็ต้องใช้อะไรแรง ๆ บ้าง เพราะนายกรัฐมนตรีอาจจะห่อหุ้มด้วยคำป้อยอไปเสียแล้ว
แต่ยืนยันว่าคำว่าวิปลาสที่ใช้จนเป็นหัวข่าวนั้นไม่เกินความจริง "วิปลาส แปลว่า คลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็น ในพจนานุกรมบอกว่าเสียสติ แต่สติในที่นี้ความหมายทางศาสนาคือระลึกได้ เสียความระลึกได้ เพราะฉะนั้นคุณทักษิณวิปลาส ถึงยังไงก็ยังยืนยันว่าวิปลาส"
บอกว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีพระเทศน์มาจากอเมริกา ว่าที่นายกฯ ไล่พระไปอยู่พรรคการเมืองนั้น แบบนี้ถ้าตายก็ไม่ต้องเอาเข้าวัด "มีพระบางรูปย้อนว่าถ้าคุณทักษิณอยากจะพูดเรื่องพระ คุณก็บวชเข้ามา อย่าเทศน์นอกธรรมาสน์"
พระกิตติศักดิ์บอกว่าที่จริงพระภาวนาวิสุทธิคุณก็ไม่ได้พูดแรง "ปกติท่านก็บรรยายให้ข้าราชการฟัง ถือว่าเป็นพระที่เทศน์ออกรายการกรมประชาสัมพันธ์อยู่เรื่อย ๆ เพียงแต่ว่าประเด็น Good Governance มันกินใจคุณทักษิณ ประเด็นเรื่องคุณธรรม บังเอิญท่านไปพูดของกรมประชาสัมพันธ์ ท่านไม่ค่อยขึ้นเวทีหรือมี comment อะไรกับสังคมเท่าไหร่นัก ท่านเจ้าคุณศรีปริยัติโมลีซะอีกที่มี comment บ่อย ท่านพระมหาโชว์ หรืออย่างเจ้าคุณราชกวี ก็มีบ่อย"
"เข้าใจว่ามีคนฟ้องแล้วอาจจะรายงานไม่ครบ ทำนองว่ามีพระวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล ส่วนมากคนรายงานจะรายงานไม่ตรง เหมือนอย่างอาตมา สายข่าวของฝ่ายกลาโหมรายงานอย่างหนึ่ง-อันนี้พวกทำเนียบรัฐบาลบอก ตกลงข้อมูลของอาจารย์จะเอายังไงกันแน่ อายุไม่ถึง ๓๐ ก็มี อายุ ๔๐ แล้วก็มี เราก็บอกคุณถามเราดีกว่า ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อน บ้างก็บอกเป็นอาจารย์มหาจุฬาฯ บ้างก็บอกว่าเป็นนิสิต สับสนวุ่นวาย ไม่น่าแปลกใจว่าภาคใต้แก้ปัญหาไม่ได้ (หัวเราะ) "
ข่าวกรองจ้องพระ
ประธานกลุ่มเสขิยธรรมถูกกาหัวไว้เป็นอันดับต้น ๆ ในฐานะ "ขาประจำ" ฝ่ายพระที่วิจารณ์นายกฯ จนกระทั่งเจอผลกระทบมาแล้ว ๒ ครั้งซ้อน
"ครั้งแรกตอนพูดที่ชุมนุมของสมัชชาคนจน ที่หน้าทำเนียบฯ ตอนนั้นก็พูดเรื่องเปิดเขื่อนปิดเขื่อน เปิด ๔ เดือน ปิด ๘ เดือน เราก็ยกตัวอย่างให้ชาวบ้านฟังว่า เรื่องนี้ถ้าให้คุณทักษิณเข้าใจให้ได้พวกเราต้องลองปิดโทรศัพท์มือถือ ๘ เดือน เปิด ๔ เดือน ถ้าเป็นอย่างนี้คุณทักษิณจะเข้าใจ เพราะว่ามันวิถีชีวิต ชาวบ้านทำมาหากินกับแม่น้ำ คุณทักษิณก็ทำมาหากินกับโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้มือถือเอไอเอส ๘ เดือน ใช้ ๔ เดือน คุณทักษิณจะเข้าใจได้"
"วันรุ่งขึ้นเจ้าคณะตำบลก็ไปหา ฝ่ายคณะสงฆ์ไปตรวจสอบว่า ที่เราอยู่เป็นสำนักสงฆ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ มีกิจวัตรยังไงบ้าง"
"อีกครั้งไปพูดที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ก็พูดว่าคุณทักษิณขาดหิริโอตตัปปะ ถ้าภาษาไทยก็คือ หน้าด้าน คนที่คิดได้อย่างคุณทักษิณมีเยอะแต่เขาไม่ทำ ที่ไม่ทำเพราะเขาละอายต่อบาป วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ก็ไป ผู้ใหญ่บ้าน ใครต่อใครก็ไป เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าคึกคะนองด้วย เขาก็ไป เขียนข้อความทำนองว่าถ้าแน่จริงต้องไปพบเจ้าหน้าที่ไม่ใช่ไปด่ารัฐบาลในมหาวิทยาลัย พอดีลูกศิษย์ที่อยู่ที่นั่นก็โทร.มาบอก เราก็ขอเบอร์โทร.เขาแล้วกัน เขาก็ถามชื่อพ่อชื่อแม่ อายุเท่าไหร่ มันก็ตลก เราก็บอกข้อมูลตรงนี้คุณขอที่ทำเนียบรัฐบาลได้เลย เขามีข้อมูลอยู่ เราก็โทร.ไปเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯ"
บอกว่าเจ้าหน้าที่คนนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวกรองของทำเนียบรัฐบาล คนเดียวกันที่โทรศัพท์ไปเตือนพระมหาโชว์ เคยติดต่อกันหลายครั้งจึงโทร.กลับไปหาเสียเลย
"เขาบอกว่าอยู่ทำเนียบรัฐบาล กอง ๕ เราก็โทร.ไป คุณช่วยโทร.ไปหาเจ้าหน้าที่วัฒนธรรมเชียงใหม่ ที่พาผู้ใหญ่บ้าน เจ้าทน้าที่ ไปสำนักปฏิบัติธรรม ขอให้เขายุติการกระทำ เพราะท่าทีของเขาไม่เหมาะสม มันเป็นการคุกคาม ทางทำเนียบฯ เขาก็โทร.ไป"
เล่าว่าเจ้าหน้าที่คนนี้โทร.ไปหาพระรูปต่าง ๆ เป็นประจำ "เขาเคยโทร.มาหาเราก่อนแล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่ามีพระสักรูปไหมที่จบจากรัสเซียแล้วชอบวิจารณ์รัฐบาล เราก็บอกไม่คุ้นนะ ทุกครั้งที่มีประเด็นอะไรเขาก็จะโทร.มาอย่างตอนนั้นประชุมเอเปก แล้วจอร์จ บุช มา พวกเราก็จะจัดภาวนากันที่สวนลุมฯ ต่อต้านสงคราม เขาก็โทร.มาว่าเรื่องนี้ขอร้องว่าอาจารย์อย่ารับนิมนต์ได้ไหม มันเกี่ยวกับหน้าตารัฐบาล เราก็บอกว่าคุณติดต่อมาช้าไป เพราะเรารับนิมนต์ไปแล้ว เขาบอกยกเลิกได้ไหม เราก็บอกมันเป็นหน้าที่ของพระ เขานิมนต์ไปนำนั่งสมาธิเราก็ไป เราก็บอกมี ๒ งานนะที่นิมนต์ งานนี้กับงานของอาจารย์ใจ ที่ม็อบ ถ้าคุณเห็นว่าเราไม่ควรจะไปงานพุทธศาสนิกชนชาวไทยเพื่อสันติภาพ ก็ไปงานอาจารย์ใจ-โอเค ถ้าอย่างนั้นไปงานนี้แล้วกัน (หัวเราะ)"
พระกิตติศักดิ์บอกว่าไม่เคยเจอหน้ากัน แต่ฝ่ายนั้นมีเบอร์โทรศัพท์และมีข้อมูลพร้อม บอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่จับประเด็นศาสนาโดยเฉพาะ
"เขาเคยโทร.ไปหาพระมหาเจิม ถามว่าเป็นสมาชิกกลุ่มเสขิยธรรมหรือเปล่า รู้จักพระกิตติศักดิ์ไหม เป็นยังไง หลังจากนั้นเขาก็โทร.มาเรื่อย เราก็บอกว่าเอ๊ะ คุณถามข้อมูลเราขนาดนี้แล้วเมื่อไหร่จะมาอุ้ม (หัวเราะ) บางครั้งเราโทร.ไปหาเขาเพราะเรา memmory เบอร์เขาไว้ เขาจะบอกว่าเขาไม่ได้คุกคามอะไร ทำตามหน้าที่ เข้าใจว่าเขามีทีมทำเรื่องนี้นะ เขาอ้างนโยบายรัฐบาลชัดเจน เวลาจะขออะไรเรา อีกส่วนเขาบอกว่ามันต้องมีการดูแลเพราะเกรงว่าพระจะทำอะไรที่ไม่เหมาะสม"
พระกิตติศักดิ์บอกว่าการที่รัฐบาลมีปัญหากับพระก็ไม่ต่างจากที่มีกับขาประจำทั้งหลาย
"แน่นอนรัฐบาลมีบทบาทที่แปลกใหม่หลายเรื่อง และบทบาทแปลกใหม่เหล่านี้ก็เป็นที่สนใจ ทั้งที่คนตื่นเต้น กับอีกส่วนคือพอผ่านมา ๆ คนเริ่มเอะใจ เคยพูดกันว่าถ้ารัฐบาลนี้เป็นเหมือนซีดีหนังสักแผ่น ถ้ามีการย้อนกลับดูใหม่มันจะเห็นอะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขากลบไปแล้วอย่างที่ธรณีสงฆ์สนามกอล์ฟ หรือเรื่องที่จะเอาที่ดินวัดมาใช้ประโยชน์ หวย ๒ ตัว ๓ เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้หลายคนเริ่มมีการจับตา มีคนตั้งข้อสังเกตมากขึ้น อาตมาว่ามันเป็นปฏิกิริยาของคนที่เริ่มฉุกคิดเริ่มมีสติขึ้นมาว่าเอ๊ะ อะไรกันแน่"
"ในแวดวงพระก็มีพูดกันเยอะ คุณทักษิณเป็นนายกฯ คนหนึ่งที่มักจะอ้างธรรมะธัมโมบ่อย ขณะเดียวกันวิถีชีวิตคุณทักษิณไม่สอดคล้องกับสิ่งที่พูด อาตมาเคยคุยกับพระผู้ใหญ่บอกว่าคุณทักษิณไม่เคยร่วมประกอบศาสนพิธี ที่สนามหลวงหรือที่พุทธมณฑล เท่าที่ทราบคุณทักษิณไม่ค่อยร่วม วันสำคัญทางศาสนาคุณทักษิณไปต่างประเทศ แล้วที่คุณทักษิณแสดงออกหลายเรื่องเป็นการแสดงออกแบบไม่ใช่เป็นคนที่มีธรรมะ เรื่องอบายมุขเป็นเรื่องเซ้นซิทีฟกับชาวพุทธ แรก ๆ เขาอาจจะรู้สึกว่าเป็นนโยบายที่ตั้งแท่นเสนอมา แต่พอซ้ำเข้าไปอีก ก็เอ๊ะ มันชักจะยังไง ก็คิดว่าถ้าคุณทักษิณเข้ามาสมัยที่ ๒ ก็ยิ่งมากกว่านี้แน่นอน"
แต่การห้ามพระเทศน์เรื่องการเมือง ก็ทำให้นายกฯ เจอปฏิกิริยาตอบโต้ไม่น้อย ในความเห็นพระกิตติศักดิ์ "สันนิษฐานว่าคุณทักษิณก็หยั่งกระแสด้วย เพราะว่าจริง ๆ แล้วข่าวคราวด้านลบของพระก็เยอะ เรื่องผู้หญิง ทรัพย์สิน แต่สังเกตได้ว่าพอคุณทักษิณ comment ตูม-พระถ้าจะเล่นการเมืองถอดจีวรออกมา มี feed back ทันทีเลยว่า อย่างนี้แสดงว่าคุณทักษิณเริ่มไม่ฟัง มันวกกลับไปที่วัฒนธรรมว่าคุณทักษิณไม่ฟังใครอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่นักวิชาการ ราษฎรอาวุโสแล้ว แม้แต่พระ-จุดหนึ่งก็คือพระไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย บางเรื่องอย่างที่ธรณีสงฆ์ พอพระมา comment คนก็มี ๒ ฝ่าย บางคนก็บอกพระหวงสมบัติ แต่พอประเด็นเรื่องการแสดงทัศนะ ความเห็นออกมาทางเดียวกัน ก็แสดงว่าตรงนี้ยังเป็นเรื่องเซ้นซิทีฟ ผู้ที่ไม่มีผลประโยชน์ควรจะมีสิทธิแสดงทัศนะ เป็นสิทธิพื้นฐาน"
พระกิตติศักดิ์บอกว่าพระที่จัดรายการวิทยุมีเยอะ ยอมรับว่ามีทั้งเหมาะและไม่เหมาะ ที่ไปเรี่ยไรก็เยอะ แต่พระที่พูดประเด็นปากท้องประเด็นทางสังคมก็มีเยอะขึ้นเช่นกัน
"คิดว่าทั่วประเทศอาจจะหลายร้อย ที่พูดประเด็นธรรมะกับวิถีชีวิต ที่จริงแล้วมันเป็นเนื้อหาดั้งเดิมของหลักพุทธธรรมก็คือธรรมะต้องใช้ในชีวิตได้"
"มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพระแสดงทัศนะ ก็มี ๒ อย่าง นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจทางสังคม หนึ่งรับฟัง จะปฏิบัติตามหรือไม่อีกเรื่อง กับสอง แม้จะไม่เห็นด้วยก็ยอมรับโดยบทบาทหน้าที่ว่าท่านไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย อาจจะมีการล็อบบี้บ้างก็อีกเรื่อง แต่ไม่ใช่ลักษณะออกมาดูหมิ่นอย่างนี้ หลวงพ่อปัญญาท่านก็เทศน์มาหลายสิบปีแล้ว พูดเรื่องมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม แล้วก็แสดงทัศนะว่าบ้านเมืองควรจะเป็นยังไง ท่านอาจารย์พุทธทาสมีหนังสือธรรมโฆษณ์ ธรรมมะกับการเมือง ไม่นับธรรมิกสังคมนิยม ทั้งอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติท่านอาจารย์พุทธทาสพูดชัดเจน"
ประธานกลุ่มเสขิยธรรมบอกว่า นายกฯ ไม่ได้เข้าใจหลักธรรมเหล่านี้แม้จะชอบยกมาอ้าง
"คุณทักษิณไม่เข้าใจ ก็เหมือนที่ว่าแกได้ยินแต่ไม่ได้ฟังหรือฟังแต่ไม่ได้ยิน แค่เข้าใจว่ามันเป็นคำที่ดูดี เป็น key word ยกบาลีขึ้นมา ยกอาจารย์พุทธทาสมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผิด คือพูดมาในความหมายที่ให้ประโยชน์กับตัวเอง ยกคำมาเพื่ออธิบายสิ่งที่ตัวเองต้องการ ผิดหลัก"
"คุณทักษิณยกท่านพุทธทาสเรื่องอิทัปปัจจยตา หรือว่าเรื่องธรรมะกับการเมืองอะไรต่าง ๆ ไปบรรยายให้กับคณะเผยแผ่ชีวิตประเสริฐของวัดชลประทานฯ ฟังด้วยซ้ำ เรื่องธรรมะกับการเมืองในทัศนะคุณทักษิณ พูดได้เลยว่าที่คุณทักษิณพยายามอธิบายโดยเอาคำพระมาจับ มันไม่สอดคล้องกับหลักธรรมหลายระดับ หนึ่ง สิ่งที่คุณทักษิณทำอยู่มันไม่สอดคล้องกับธรรมะ สิ่งที่ยกมาอ้างเรียกว่ามาแต่งหน้าเป็นครีมหน้าเค้กเฉย ๆ สิ่งที่คุณทักษิณคิดล่ะ นโยบายที่คุณทักษิณวาง สิ่งที่ต้องการนำพาประเทศนี้ไป มันขัดต่อความสันโดษ การอยู่ง่ายกินง่าย เศรษฐกิจพอเพียง เรายังพูดกันเลยว่าคุณทักษิณกำลังทำอนันตริยกรรม คือบาปใหญ่ที่ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ด้วยการนำพาประเทศไทยไปสู่สังคมบริโภคโดยที่สังคมไทยไม่ได้มีพื้นฐานที่สอดคล้องกับทิศทางนั้นเลย สิ่งที่ทำนี้คุณทักษิณไม่สามารถรับผิดชอบผลของการกระทำได้ ในทางศาสนาคือห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ทางสังคมจริง ๆ แล้วไม่ควรให้เป็นผู้นำประเทศต่อไป หรือว่าไม่ควรจะเกี่ยวข้องกับชะตากรรมของบ้านเมืองเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่คุณทักษิณทำมันเป็นตัวกระตุ้นการบริโภค ตั้งแต่เรื่องใหญ่ไปจนถึงเรื่องย่อย ๆ อย่างวิถีชีวิตคุณทักษิณ ธุรกิจครอบครัว อย่างพยายามกระตุ้นให้โทรศัพท์มือถือเป็นแฟชั่น จนผู้หญิงไปขายตัว ผู้ชายไปจี้ปล้น มันบาปมหาศาล และเมื่อคุณมีอำนาจรัฐในมือแทนที่จะทำในสิ่งถูกต้องได้แต่ไม่ทำ เพราะฉะนั้นไม่ว่าปัญหาระดับมหภาคหรือระดับเล็ก มันสะท้อนว่าคุณทักษิณไม่ได้ทำตัวสอดคล้องกับสิ่งที่พูด"
นายกฯ ชอบพูดคำศัพท์ธรรมะ เช่นให้ปล่อยวาง
"ปล่อยวางอย่ามาคัดค้านผมนะ ใช่ไหม ปล่อยวางให้ผมสามารถไปทำสัญญาเอฟทีเอ ถามว่าเป็นอย่างนี้ใครจะปล่อยวาง คุณทักษิณสิควรจะปล่อยวางประเทศนี้ได้แล้ว คุณควรจะเลิกยึดมั่นถือมั่นที่จะมีจะเป็น ที่บอกคุณจะเข้ามาแก้ปัญหาบ้านเมือง ถ้าคุณบอกว่าแก้สำเร็จแล้วก็โอเค ขอบคุณ บาย-ใช่ไหม มากไปกว่านี้มันเป็นตัณหาแล้ว ถ้ามองอย่างชาวพุทธรัฐบาลมีหน้าที่ทำความดี แล้วโดยวิธีการที่ดี นี่คือหน้าที่ของรัฐบาล ทีนี้โดยเนื้อหาสาระคุณทำดีหรือเปล่า วิธีการที่จะไปถึงเป้าหมายเป็นวิธีการที่ดีหรือเปล่า ถ้า ๓-๔ อย่างนี้มันไม่สะท้อนให้เห็น สิ่งที่คุณพูดก็ธรรมดา พูดให้ดูดี"
สรุปว่านายกฯ เข้าใจธรรมะอย่างไร
"แกมองว่าธรรมะเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ คือในแง่หนึ่งในหลักพุทธธรรมก็คือธรรมะเป็นเครื่องมือ นำไปสู่การดับทุกข์ แต่ปรากฏว่าคุณทักษิณขยักไว้ครึ่งหนึ่ง ธรรมะเป็นเครื่องมือนั่นแหละ แต่เป็นเครื่องมือทำให้สิ่งที่ตัวเองต้องการได้รับการตอบสนอง ประสบความสำเร็จ คุณเคยเห็นโฆษณามือถือที่ให้กดเบอร์ไปถามหมอดูไหม ที่เป็นรูปคนนั่งสมาธิ ต่อไปคุณไม่ต้องไปนั่งสมาธิอีกต่อไปแล้ว กดเบอร์นี้เรามีคำตอบ มันก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในด้านการตลาด เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทักษิณทำอยู่ต้องแยกว่าคุณทักษิณพูดอะไรแล้วทำอะไร แล้วมันก็จะสะท้อนว่าคุณทักษิณคิดอะไร กาย วาจา ใจ คุณทักษิณเป็นยังไง"
"คือแน่นอนคุณทักษิณเป็นคนที่น่ารัก เป็นแฟมิลี่แมน รักครอบครัว แต่คุณเฉลิมก็รักครอบครัว คุณชูวิทย์ก็รักครอบครัว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นบางเรื่องต้องดูกันให้รอบคอบ พุทธศาสนาคือตรงนี้ ดูให้รอบด้าน เรื่องตรงนี้ไม่ต้องพูดหรอกนะว่าที่มาคุณทักษิณเป็นยังไง ก็พอจะรู้ ๆ กันอยู่"
อยากยึด ?
พระกิตติศักดิ์ยืนยันว่า พระต้องพูดเรื่องการเมือง "ต้องนิยามว่าการเมืองคืออะไร ถ้าพูดถึงเรื่องความทุกข์ความสุขของผู้คนจำนวนมาก ถ้านี่หมายถึงเรื่องการเมือง มีพระพูดเรื่องนี้เยอะแยะ เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาบนโลกเพื่อดับทุกข์ให้ประชาชน พระพุทธเจ้าชี้แนะว่าวิถีชีวิตที่เหมาะสมเป็นยังไง พระพุทธเจ้าชี้แม้กระทั่งเป็นรัฐบาลที่ดีเป็นยังไง กษัตริย์ที่ดีเป็นยังไง แม้กระทั่งเป็นโสเภณีที่ดีเป็นยังไง เป็นโจรที่ดีเป็นยังไง คือถ้าคุณจำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ คุณก็มีคุณธรรมที่ควรจะทำอยู่ แล้วพระท่านก็พูดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด ถ้าบอกว่าห้ามพระพูดถึงเรื่องผู้คนจำนวนมาก ห้ามพูดถึงความทุกข์ ห้ามพูดถึงปัญหา ทางออก ก็เหมือนว่ายกเลิกพระพุทธศาสนาไป ถึงยังไงในความเป็นพระท่านก็ต้องพูดเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าจะพูดในบริบทไหน"
บอกว่าประเด็นที่น่าสนใจแต่ยังไม่มีใครถามนายกฯ ก็คือที่ว่าอยู่พรรคพิเศษหมายถึงอะไร "อยู่ในสถานภาพที่คนไปแตะต้องไม่ได้เหรอ พรรคผ้าเหลืองอย่างนั้นหรือเปล่า"
"คุณทักษิณเป็นที่อย่างพระศรีปริยัติโมลีท่านบอก เป็นคนไวไฟ มีปฏิกิริยาตอบโต้เร็ว หมอประเวศแกก็ด่าไล่แล้ว ใครแกก็ว่าได้ เหลืออีกอย่างหนึ่งก็คือพระ"
"เคยมีครั้งสองครั้งที่พระไปชุมนุม คุณทักษิณก็เคยหลุดปากว่าเป็นพระจริงหรือเปล่าไม่รู้ เข้าใจว่าคงค้างคา ศูนย์พิทักษ์ฯ เขาก็ซัดแรงนะ กรณี พ.ร.บ.สงฆ์ หรือที่ธรณีสงฆ์ เข้าใจว่าคุณทักษิณคงอึดอัดพอสมควร"
พระกิตติศักดิ์ชี้ว่าแน่นอนที่รัฐบาลอยากจัดระเบียบวงการสงฆ์เพราะมีหลายสาเหตุ
"ในแง่หนึ่งคือพุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคง ในเชิงรัฐศาสตร์เขาวิเคราะห์ว่าแรงศรัทธาจะชี้นำไปในทางไหนก็ได้ ขณะเดียวกันรัฐเองก็เห็นแล้วว่าศาสนามีทั้งคน มีทั้งเงิน ทรัพย์สินเยอะ เป็นเงินนอกระบบ เช่นเดียวกับเรื่องหวย ในสายตานักเศรษฐศาสตร์คือกวาดต้อนมา เพียงแค่บอกว่าต่อไปจะจัดตั้งกองทุน แล้วเอากองทุนนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าอีก ๒ สัปดาห์เงินกองทุนคณะสงฆ์จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ โอ๊ย-ปั่นหุ้นได้เลย เขาเห็นอยู่ และที่ดินอีกล่ะ ทำเลทองในกรุงเทพฯ เลย ที่ดินของวัดมหาศาล"
"คุณทักษิณเป็นนักบริหารจัดการ เขาจะเซ้นซิทีฟกับอำนาจ มันเป็นธรรมดาของคนที่เขาทำเรื่องการจัดการ บางส่วนจัดการไม่ได้ก็พยายามจัดการ ถ้าพยายามแล้วยังไม่ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ยิ่งมีนักกฎหมายเก่ง เนติบริกร เขาก็ใช้กฎหมาย เราก็ว่ามันก็เป็นตัวกระตุ้น ยิ่งคุณทักษิณไปแตะเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เกิดการตรวจสอบ"
แต่ก็มีหลายคนทื่มองว่าซีอีโอจะชนตอเพราะมายุ่งกับพระ
"คุณทักษิณท้าทายคุณธรรมจริยธรรม ถ้าใช้ศัพท์หน่อยก็คือคุณทักษิณกำเริบเสิบสานว่าตัวเองเข้มแข็งแล้ว มีอำนาจแล้ว คุณทักษิณคิดว่าทำได้ทุกอย่าง แต่การเผชิญหน้ากับคุณธรรมมันต้องใช้คุณธรรมที่ยิ่งกว่า ถึงจะเอาชนะคุณธรรมระดับรองลงมาได้ ฉะนั้นจึงเหมือนกับคุณทักษิณวิ่งชนกำแพง มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอาชนะคะคาน แต่มันเป็นเรื่องว่าทำยังไงที่รัฐบาลจะส่งเสริมให้คนทำดี ใช้วิธีการที่ดี พอเป็นอย่างนี้เข้าก็คือคุณทักษิณวิปลาสแล้ว ไม่มีอย่างอื่น เพราะว่ามันเป็นการคลาดเคลื่อนไปจากที่ถูกที่ควร คือคิดผิด มีความเข้าใจผิดออกไปจากสิ่งที่มันควรจะเป็น ก็เป็นไปได้อย่างที่ว่าคือกำแพงมันอยู่ของมันเฉย ๆ คุณวิ่งเอาหัวใปชนมัน อย่างมากคือคุณตาย รองลงมาสลบ เจ็บหัวโน แล้วแต่ว่าคุณจะวิ่งแรงขนาดไหน แล้วเรื่องนี้ถ้าคุณทักษิณยังไม่มีสติยับยั้งชั่งใจ ก็เหมือนกับว่าคุณทักษิณกำลังนับถอยหลัง คือไม่ใช่หมายถึงคุณทักษิณมาท้าทายพระ-ลบความเป็นพระออกไป แต่หมายความว่าระบบคุณค่าด้านหนึ่งในเชิงคุณธรรมจริยธรรม คุณค่าเชิงนามธรรม ซึ่งมันไม่ใช่แค่เอาเงินไม่กี่แสนล้านมาฟาดหัว มันไม่ใช่คุณเอาวิถีชีวิตบางอย่างของคุณไปทำให้เขาหลงผิด แล้วคุณไปลบคุณธรรมได้ มันมีคนที่ยิ่งใหญ่กว่าคุณทักษิณเยอะแยะ ที่ต้องจบทุกอย่างลงเพราะว่าไม่ถูกทำนองคลองธรรม เพียงแต่ว่าจะช้าหรือเร็ว มันจะแรงแค่ไหนในการวิ่งเข้ามาชนแค่นั้นเอง"
พระกิตติศักดิ์เตือนสติว่าบางทีความพยายามจัดการมากไปก็กลายเป็นวัวพันหลักหรือลิงติดแห
"ยิ่งคุณพยายามจัดการอะไรเท่าไหร่ก็ยิ่งไปสัมผัสกับมันมากเท่านั้น ถ้ามันอยู่ของมันดี ๆ คุณมีลูกน้อง ๑๐ คน ถ้าคุณปล่อยให้เขาเดินไปเดินมาอยู่ก็ไม่มีปัญหา วันดีคืนดีบอกว่าถ้าผมเป่าปี๊ดคุณต้องเลี้ยวซ้าย มันต้องมีบางคนอยากจะเลี้ยวขวาขึ้นมา"
"จุดหนึ่งคือเงื่อนไขที่ไปวางไว้ โปรโมชั่นที่ตาม ๆ กันมา มันจะมีอะไรใหม่มากกว่านี้ เหมือนพวกทำธุรกิจตัดราคาวันหนึ่งต้องหยุด ถ้าไม่หยุดมันเจ๊งกันหมด คุณทักษิณแกใช้โปรโมชั่นจะครบแล้วมั้ง ถึงจุดหนึ่งมันดิ้นไม่ไป ถ้าหากว่าแกยอมฟังก็ไม่มีปัญหา ยอมฟังว่าเออคนที่เขาเตือนคนที่หวังดีก็มี คนที่ไม่ชอบก็มี ต้องยอมรับ บางคนอาจจะศรศิลป์ไม่กินกัน แต่คนที่เห็นว่คุณทักษิณมีประโยชน์ก็มี ในแง่ที่ว่าควรจะใช้ศักยภาพเป็นคุณมากกว่าโทษก็มี เขาก็อยากให้คุณทักษิณเปลี่ยนทิฐิ เขาก็พยายามแนะนำ แต่พอคุณทักษิณทำอย่างนี้ แกเหมาเข่งหมด ก็เหมือน ดร.สมเกียรติบอกว่าคุณทักษิณสร้างวาทกรรมใหม่ขึ้นมา คำว่าขาประจำ ปกติขาประจำนี่มันต้องปฏิบัติดีต่อขาประจำใช่ไหม ถ้าคุณขายของแล้วมีขาประจำมันต้องปฏิบัติดีต่อเขา แต่นี่คุณบอกขาประจำใช้ไม่ได้ ต่อไปคุณก็ต้องมีปัญหากับขาประจำ เพราะขาประจำมันต้องเจอคุณอยู่ตลอด มันต้องเดินผ่านหน้าบ้านคุณทุกวัน ถ้ามันเดิน ๓ คน ๕ คน ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเดินผ่านหน้าบ้านคุณทักษิณเป็นหมื่นเป็นล้าน แค่ถุยน้ำลายคนละทีก็ท่วมบ้านแล้ว คุณทักษิณจะไปแข็งแรงมาจากไหน เงินทองสมมติคุณปั่นหุ้นมาได้ ๓ แสน ๔ แสนล้าน คุณจะทำอะไรได้ คุณมีลูกไปเข้าเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ มันจะทำอะไรได้ ถ้าหากว่าคุณไม่ได้เดินไปตามทำนองคลองธรรมที่เหมาะสมในทิศทางที่ควรจะเป็น และทิศทางตรงนี้เราเชื่อว่าคนพร้อมที่จะอนุโมทนาสาธุ คุณมีอำนาจขนาดนี้คุณทำดีสิ คุณใช้องคาพยพของรัฐทำความดีสิ หรือไม่ก็ใช้กลไกส่วนตัวคุณทำความดีสิ ไม่ต้องมากหรอก บิล เกตส์ เขาตั้งมูลนิธิ เราท้าทายเลยว่าคุณทักษิณใช้เงินสัก ๑๐% ของทรัพย์สินที่ตัวเองมีอยู่ตั้งมูลนิธิสิ ถ้าทำอย่างนั้นคนจะยกย่องมากกว่าไปเดินแจกตามหมู่บ้าน"
"ทำไมไม่ใช้โอกาสทำความดี ทำไมไปใช้ศักยภาพในทางเหิมเกริม ท้าทายคนนั้นคนนี้ ถ่มน้ำลายรดฟ้า ก็จะเหมือนคนอื่นพูดว่าวันหนึ่งจะไม่มีแผ่นดินอยู่ คุณเป็นคนรวยที่ทุกคนเกลียดหมด คุณไปไหนต้องมีกองทัพส่วนตัวเป็นร้อยเป็นพัน คุณจะอยู่ได้ไง สิ่งที่คุณทักษิณน่าจะทำคือตั้งสติให้ดี ใช้ศักยภาพ ใช้ความฉลาดที่มีอยู่แล้วทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ ถือว่าฝากคุณทักษิณวันเข้าพรรษาก็ได้" ..
|