ร.พ.สงฆ์เผยสถิติพระไทยอาพาธปีละกว่า ๗ หมื่นรูป ความดัน-เบาหวานพุ่ง ห่วงสุขภาพพระ 'งด' ถวายอาหารหวานมันเค็ม บุหรี่ มาฆบูชาดาราติดงานเข้าวัดเวียนเทียนกลัวคนฮือถ่ายรูปเสียบรรยากาศทำบุญ
น.พ.มานพ ศิริมหาราช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์อาพาธของพระสงฆ์ในส่วนของ ร.พ.สงฆ์ ว่า ในแต่ละปีมีพระสงฆ์อาพาธเข้ารับการตรวจที่ ร.พ.สงฆ์ ประมาณ ๗-๘ หมื่นรูป โดยสถิติข้อมูลผู้ป่วยนอกพบว่า โรคที่พระสงฆ์อาพาธมากที่สุด ๑๐ อันดับ คือ โรคความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ถุงลมโป่งพอง, โรคกระดูกเสื่อม, ข้อเข่าเสื่อม, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไขมันในหลอดเลือดสูง, โรคฟันผุ, โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก, เหงือกอักเสบ และโรคท้องเสีย โดยโรคที่มีผู้ป่วยในมากที่สุดคือ โรคตาต้อกระจก ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย มีผู้ป่วยในสำหรับโรคนี้ประมาณ ๕๐๐ รายต่อปี จากจำนวนผู้ป่วยในทั้งหมด ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ ราย สาเหตุเนื่องจากพระที่เข้ารับการรักษาตัวจะมีอายุมากเฉลี่ย ๖๐ ปีขึ้นไป
ผอ.ร.พ.สงฆ์กล่าวว่า โรคหลายโรคที่พระสงฆ์อาพาธเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น โรคถุงลมโป่งพอง, ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ ๒๕-๓๐% ของพระสงฆ์อาพาธที่เข้ารับการรักษา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการบริโภค โดยเฉพาะการถวายภัตตาหารของพุทธศาสนิกชนที่บางส่วนอาจจะถวายภัตตาหารที่เค็มจัด มันจัด หรือหวานจัด จนเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้พระอาพาธได้ เพราะหากถวายอาหารที่มีรสเค็มจัดจะทำให้เป็นความดันโลหิตสูงได้ ในส่วนของอาหารที่หวานจัดนั้น หากพระสงฆ์มีพันธุกรรมอยู่แล้วยิ่งจะเป็นส่วนเสริมให้เป็นโรคเบาหวานได้ และในส่วนของอาหารที่มันจนเกินไป จะทำให้เป็นโรคไขมันในเลือดสูง และไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้ จึงอยากวอนชาวพุทธที่ต้องการให้พระแข็งแรง ควรถวายภัตตาหารที่ครบ ๕ หมู่ และไม่มีรสหวาน มันหรือเค็มจนเกินไป และในช่วงฤดูร้อนเช่นนี้ต้องเลือกภัตตาหารที่สดใหม่ ไม่บูดเน่าง่ายถวายพระ
"โรคถุงลมโป่งพองที่ติดอันดับโรคพระสงฆ์อาพาธนั้น มี ๒ ปัจจัยคือ การที่พระไม่ได้ออกกำลังกาย และการสูบบุหรี่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการสูบบุหรี่มากกว่า ทั้งนี้ เนื่องจากสมัยก่อนนั้นประชาชนนิยมถวายบุหรี่ให้พระสงฆ์ กว่าจะมีการรณรงค์งดถวายบุหรี่ พระก็ติดบุหรี่ไปเสียแล้ว ประกอบกับพระที่เข้ารับการรักษาที่ ร.พ.สงฆ์เป็นพระชราภาพ ซึ่งมีระยะเวลาในการสูบบุหรี่มาอย่างยาวนาน ทำให้เลิกยาก" น.พ.มานพกล่าว... .. 
