ศิริชัย ศิริสยาม
บทความ ข่าวสด วันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ปีที่ ๑๓ ฉบับที่ ๔๖๗๐
การตายจากไปของนายศิริชัย นฤมิตรเรขการ เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๗ นี้ นับว่าสยามได้สูญเสียปูชนียบุคคลร่วมสมัยคนสำคัญไปอย่างน่าเสียดายนัก แม้มหาชนคนส่วนใหญ่จะไม่รู้จักท่านกันนักก็ตาม
ทั้งนี้ก็เพราะคุณศิริชัยไม่ชอบความเด่นความดัง หรือการสร้างชื่อเสียงเกียรติยศให้ตนเองดังที่เป็นสมัยนิยมกันอยู่
ยิ่งท่านเก็บตัวเท่าไร พวกกึ่งดิบกึ่งดีที่มีอำนาจวาสนาและทรัพย์สินเงินทองอย่างปราศจากศีลธรรมหรือรสนิยม ย่อมไม่มีแววตาที่จะเห็นคุณค่าของคนอย่างคุณศิริชัย
ทั้งๆ ที่คุณศิริชัยเป็นผู้ที่มีคุณงามความดีอย่างพรั่งพร้อมอยู่ภายในตนเอง อุทิศชีวิตเพื่อส่วนรวมอย่างเต็มที่ มีเวลาและหัวใจให้กับผู้ยากไร้อย่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา
ยิ่งทางด้านการอนุรักษ์ศิลปกรรมและธรรมชาติด้วยแล้ว คุณศิริชัยทุ่มเทให้อย่างไม่ย่อท้อเอาเลย โดยที่ท่านทำยิ่งกว่าพูด และทำอย่างปิดทองหลังพระ ยิ่งกว่าจะเอะอะโวยวาย พร้อมกันนั้นท่านก็ได้กัลยาณมิตรและศิษยานุศิษย์ ตลอดจนเยาวชนที่สนับสนุนกิจการงานของท่านอย่างแทบไม่ขาดสาย
คุณศิริชัยเป็นสถาปนิกที่ไม่ผลิตงานโหล หากสิ่งก่อสร้างหรืออาคารบ้านเรือนแต่ละชิ้นที่ท่านนฤมิตรขึ้นมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรขการสมนามสกุลท่าน โดยที่ท่านเป็นบุตรของหลวงนฤมิตรเรขการกับคุณนายอนงค์ ซึ่งเป็นศิลปินทั้งคู่เอาเลยก็ว่าได้
นอกจากบิดาท่านจะสอนวิชาศิลปะ ณ โรงเรียนนายร้อยจปร.แล้ว มารดาท่านยังดำเนินกิจการด้านห้องศิลป์ทางแถบวัดราชบพิธ เป็นเหตุให้ได้ผลิตงานอย่างมีฝีมือที่ขึ้นชื่อลือชาแห่งยุคสมัย แต่ก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
ศิลปินระดับชาติอย่างนายเฟื้อ หริพิทักษ์ ก็เป็นผลผลิตคนหนึ่งของสำนักนี้
ยังปู่ของท่านก็เป็นศิลปิน ดังคุณหลวงเจนจิตรยงได้ฝากฝีมือไว้ในภาพรามเกียรติ์ ณ พระระเบียงแห่งวัดพระศรีรัตนศาสดารามอีกด้วย
การสืบทอดความเป็นศิลปินมาถึงสามชั่วคนนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องที่หาได้ง่ายในสังคมไทย ยิ่งมาถึงคุณศิริชัยด้วยแล้ว ความงามภายในจิตใจของท่านเป็นพลังอย่างสำคัญที่ช่วยให้วิถีชีวิตของท่านเป็นไปอย่างงดงาม มุ่งประโยชน์สุขของส่วนรวมและผู้อื่นยิ่งกว่าส่วนตน
ยิ่งเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องหรือรุ่นศิษย์ที่เคยทำงานร่วมกับท่านมาอย่างใกล้ชิดด้วยแล้ว จะบอกได้เลยว่าท่านช่วยเหลือเกื้อกูลเขา ไม่แต่ทางด้านการงานและวิชาการ หากยังเอื้ออาทรไปจนถึงทรัพย์สินเงินทอง โดยแผ่ขยายไปถึงญาติพี่น้องของเขานั้นๆ อีกด้วย
เพื่อนฝูงของคุณศิริชัย ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่น้อยแล้ว ก็จะพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้คุณศิริชัยจะไม่ค่อยพูด แต่เวลาพูดออกมานั้น มักจะมีอารมณ์ขันแสดงออกมาด้วย อย่างช่วยให้บรรยากาศของการทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างราบรื่นและสนุกสนาน
แม้บางครั้งจะต้องทำงานใหญ่ ที่บางทีต้องขัดกับนักการเมืองและนักบริหารชั้นสูง ซึ่งมักเป็นไปในทางเผด็จการเสียด้วย
โดยที่คุณศิริชัยมักมีบทบาทเป็นไปในทางของพระรอง ยิ่งกว่าพระเอก ทั้งๆ ที่แนวคิดและผลงานของท่าน พวกที่แสดงบทนำต้องพึ่งพาท่านอย่างแทบขาดไม่ได้เอาเลย
ความข้อนี้ ขอให้ถามดูได้จากเพื่อนร่วมรุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น นายวทัญญู ณ ถลาง และนายนิจ หิญชีระนันท์ ส่วนนายแสงอรุณ รัตกสิกร นั้นได้ตายจากไปแล้ว
หากคุณแสงยกย่องเชิดชูคุณศิริชัยยิ่งนัก ว่ามีความสุขุมยิ่งกว่าตนในแทบทุกๆ ทาง และคุณแสงก็เป็นผู้ที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรมและอุทิศตนให้ศิษย์เป็นอย่างยิ่ง
คุณศิริชัยมีบทบาทอย่างสำคัญในสมาคมสถาปนิกสยาม สยามสมาคม และสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม
นอกจากดำรงตำแหน่งกรรมการที่สำคัญๆ แล้ว ยังรับใช้สถาบันทั้งสามนี้ ทางด้านอนุรักษ์ศิลปสถานและโบราณวัตถุให้คงสภาพทางความงามไว้อย่างสืบทอดความเป็นมาของอดีต เพื่อคนรุ่นต่อไปได้เข้าถึงคุณค่าที่บรรพชนเนรมิตให้ไว้อย่างควรแก่การภาคภูมิใจ
การที่คุณศิริชัยมีรกรากดั้งเดิมมา ณ กลางพระนคร ทางแถบแถวถนนบำรุงเมืองและเฟื่องนคร ท่านมีส่วนร่วมรักษาหัวแหวนของเกาะรัตนโกสินทร์ไว้อย่างน่านิยมชมชอบ
ทั้งท่านยังพร้อมที่จะนำคนรุ่นหลังเดินชมบริเวณรอบๆ นั้น ให้ได้เข้าถึงบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนร่วมสมัย เรื่อยไปจนถึงสมัยเมื่อคุณศิริชัยยังเยาว์วัยอยู่เมื่อหกเจ็ดทศวรรษมาแล้ว
เท่ากับเป็นการส่งมอบประเพณีแห่งการฟื้นความหลังต่อๆ ไป ดังที่ท่านเสฐียรโกเศศและท่านกาญจนาคพันธุ์เคยทำมาก่อนแล้วกับกรุงเทพฯ กรุงธนฯ ของเรา
ไม่แต่คุณศิริชัยจะมุ่งไปทางความงามและความสมดุลทางธรรมชาติเท่านั้นก็หาไม่ หากยังมีเวลาให้กับคนยากไร้มิใช่น้อย
ดังเคยช่วยครูประทีป อึ๊งทรงธรรม ฮาตะ มาอย่างเต็มที่ กับงานในสลัมคลองเตยของเธอ และช่วยคุณนงเยาว์ นฤมิตรเรขการ น้องสาวคนเดียวของท่านเป็นอย่างมากทางด้านงานของมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม
คุณศิริชัยช่วยงานอนุสรณ์ ๒๐๐ ปี จำเดิมแต่ที่เราสูญเสียกรุงศรีอยุธยาไป ในปี พ.ศ.๒๕๑๐ อย่างที่ช่วยให้งานนั้นได้รับความสำเร็จทางด้านการเตือนบุคคลร่วมสมัยให้เกิดอนุสติและเพื่อเจริญอัปมาทธรรม ทั้งทางศิลปวัฒนธรรม และทางด้านการเมืองการปกครอง อย่างยากที่ชนชั้นปกครองจะเข้าใจได้
แต่ชนชั้นปกครองที่มีแววตาไปในทางกุสุมรส ย่อมจะยกย่องคุณศิริชัยอย่างจริงใจ ดังท่านได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมากจากม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
แม้คุณศิริชัยจะอุทิศตนให้กับกรุงเทพฯ ในหลายต่อหลายทาง รวมถึงความพยายามที่จะให้ถนนวงแหวนรอบราชธานีมีแต่พื้นที่สีเขียว อย่างปราศจากอาคารอันน่าเกลียด แต่โครงการนี้ก็มีอันเป็นต้องพับไป เพราะความโสมมของนักการเมืองที่ทุจริต บวกกับพวกพ่อค้าที่สามารถในการติดสินบนเพียงเพื่อต้องการงานก่อสร้างเพื่อการค้า อย่างไม่ไยไพกับความสมดุลทางธรรมชาติเอาเลย
คุณศิริชัยเบื่อเมืองไทยจนหนีไปทำงานด้านวิทยุกับบีบีซีที่กรุงลอนดอนพักใหญ่ๆ ช่วยผลิตรายการดีๆ ที่มีคุณค่ามาให้พวกเราได้รับฟังกันอย่างเป็นประโยชน์อยู่หลายปี แล้วท่านก็อดคิดถึงเมืองไทยไม่ได้ จึงต้องย้ายนิวาสสถานกลับมาบ้านเกิดเมืองนอน
แต่แล้วท่านก็เห็นว่าเมืองกรุงมีพลเมืองหนาแน่นเกินไป อาคารสูงๆ ทำให้แผ่นดินทรุดลงไปทุกที ควรที่พวกเราจะกระจายกันไปอยู่ตามต่างจังหวัด
ไม่แต่พูดเท่านั้น ท่านทำด้วย โดยการโยกย้ายครอบครัวไปอยู่เชียงใหม่เอาเลยทีเดียว แม้ตอนนั้นท่านจะล่วงเลยมัชฌิมวัยไปมากแล้วก็ตาม ถึงกับยอมทิ้งทั้งญาติมิตรในเมืองกรุง แต่แล้วก็ไปได้กัลยาณมิตรใหม่ๆ ทางล้านนา จนไปตั้งกลุ่มอนุรักษ์นครพิงค์ขึ้นจนได้
ด้วยการทำตัวอย่างทางแถบที่ท่านอาศัยอยู่ ด้วยการเก็บขยะมูลฝอยให้สะอาด แล้วนำมาใช้ใหม่ ก่อนที่ recycle จะเป็นแฟชั่นกันเสียอีก
ทั้งท่านยังร่วมกับกัลยาณมิตร เข้าหาพระเจ้าพระสงฆ์ ระงับการสร้างรถไฟฟ้าที่จะขึ้นไปทำลายดอยสุเทพเสียได้ โดยมีท่านเจ้าคุณพระโพธิรังษีแห่งวัดพันตองเป็นองค์อุปถัมภ์ที่สำคัญ
ดังที่ท่านเคยร่วมงานกับเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์แห่งวัดทองนพคุณ ทางธนบุรี ให้ทุกวัดในจังหวัดนั้นได้อนุรักษ์ศิลปกรรมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม แม้จะในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที
คุณศิริชัยจบสถาปัตยกรรมศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยคอแนล แล้วกลับมาสอนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนไปสอนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในบั้นปลายแห่งชีวิต
ท่านความสันโดษเป็นเจ้าเรือน มีวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและอย่างงดงาม มีความสุขร่วมกับคุณอายาโกะ ภรรยาชาวญี่ปุ่นคนเดียวของท่าน ซึ่งมีเวลาให้กับดนตรีไทยอย่างน่าชื่นชม ทั้งสองมีบุตรีร่วมกันหนึ่งคน
นับเป็นครอบครัวน้อยๆ ที่มีความสุขตามอัตภาพ และเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยการให้และการรับใช้ชุมชนและบ้านเมืองอย่างปิดทองหลังพระมาแทบจะโดยตลอด
คุณศิริชัยเกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เพียงเลยงานวันเกิดอายุ ๗๗ ปีไปเพียงสามวันก็สิ้นอายุขัยลงที่เชียงใหม่เมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๔๗
กำหนดปลงศพที่จังหวัดนั้น ณ วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๗
แม้ญาติมิตรจะอาลัยรักถึงท่านกัน แต่อีกไม่นาน ใครๆ ก็จะพากันลืมท่านไป ตามวิสัยของโลกธรรม
แต่คุณความดีของท่านจะดำรงคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และท่านจะไปสู่สุคติอย่างไม่พึงที่จะสงสัย
สมกับคำของอังคาร กัลยาณพงศ์ ที่รจนาไว้ว่า
ศิริชัยศิริสยามท่ามฟ้า สถาปัตย กรรมเอย
หนาวปรโลกพรากพลัด โลกแล้ว
เสวยวิเศษแห่งทิพยอุบัติ ภพใหม่ ทิพย์เทอญ
มนต์มิ่งไอศวรรย์แก้ว เพริศแพร้วเกษมศานต์ฯ ..
|