โดย พระไพศาล วิสาโล
มติชนรายวัน วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๙๑๓๒ คอลัมน์ กระแสทรรศน์
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานคือศีลข้อหนึ่งให้ชาวพุทธสมาทานนั้น พระองค์ไม่ได้ตรัสแม้แต่น้อยว่า ศีลข้อนี้อนุญาตให้ชาวพุทธฆ่าสัตว์ตัดชีวิตได้ในบางกรณี ความหมายของศีลข้อนี้ตามพุทธบัญญัติคือจงใจละเว้นจากการฆ่าสัตว์ในทุกกรณี โดยไม่มีข้อยกเว้น
พุทธศาสนานั้นไม่ยอมรับการฆ่าในทุกกรณี นอกจากการไม่ฆ่าด้วยตนเองแล้ว การเกี่ยวข้องกับการฆ่า ก็เป็นสิ่งที่ชาวพุทธพึงหลีกเลี่ยง ดังนั้น นอกจากศีลข้อที่หนึ่งแล้ว ยังมีหลักธรรมคำสอนว่า ด้วยมิจฉาวณิชชา หรือการค้าขายที่ชาวพุทธไม่ควรประกอบ สามในห้าข้อ ได้แก่ การค้าขายอาวุธ การเลี้ยงสัตว์ไว้ขาย (เอาเนื้อ) และการค้าขายยาพิษ ล้วนเป็นอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการฆ่า ซึ่งชาวพุทธไม่ควรข้องแวะ
ในความเป็นจริงของชีวิต การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเลยนั้นทำได้ยาก เพราะในการดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้นั้นบ่อยครั้งก็จำต้องอาศัยชีวิตของสัตว์อื่นเป็นอาหาร แม้กระนั้นการฆ่าชีวิตอื่นเพื่อความอยู่รอดก็ยังถือว่าผิดศีลในทางพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง (ด้วยเหตุนี้จึงทรงสอนให้ชาวพุทธกินอาหารเท่าที่จำเป็นเพื่อให้ร่างกายอยู่ได้ มิใช่เพื่อความเอร็ดอร่อยหรือโก้เก๋) ในประเทศศรีลังกา ตั้งแต่อดีตมาชาวพุทธจึงหลีกเลี่ยงอาชีพประมงหรือฆ่าสัตว์ ปล่อยให้คนศาสนาอื่นมาทำอาชีพนี้แทน ส่วนคนไทยใช้วิธีหลีกเลี่ยงบาปหนักด้วยการกินปลาเป็นพื้น เพิ่งมาระยะหลังนี้เองที่กินสัตว์ใหญ่กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แม้กระทั่งวัวควายที่ช่วยทำไร่ ไถนา ก็ไม่ละเว้น
แต่ฆ่าอะไรก็ไม่หนักหนาเท่ากับการฆ่ามนุษย์ พุทธศาสนาไม่ยอมรับการฆ่ามนุษย์ในทุกกรณีแม้มนุษย์ผู้นั้นจะเป็นโจรใจบาป ท่าทีของพุทธศาสนาในเรื่องนี้ปรากฏอย่างชัดเจนในชาดกเรื่องเตมีย์ใบ้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ก่อนจะมาบังเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเตมีย์เป็นโอรสของพระเจ้ากรุงพาราณสี เมื่อครั้งเป็นทารกทรงเห็นพระราชบิดาลงโทษโจรด้วยการเฆี่ยนตี ล่ามโซ่ ร้ายกว่านั้นคือเอาหอกแทงและหลาวเสียบ ทรงเกิดความสะดุ้งใจ ต่อมาทรงระลึกชาติได้ว่าในอดีตพระองค์เคยครองราชย์ในกรุงพาราณสี ๒๐ ปี ครั้นสิ้นพระชนม์ก็ตกนรกหมกไหม้นานถึง ๘๐,๐๐๐ ปี เนื่องจากได้สั่งประหารชีวิตผู้คนไว้มาก พระองค์เกรงว่าถ้าได้เสวยราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดินก็จะต้องตกนรกเพราะทำกรรมหนักอีก จึงแกล้งทำเป็นใบ้หูหนวกและง่อยเปลี้ยเพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อจากพระราชบิดา
ใช่แต่การฆ่าโจรร้ายเท่านั้น แม้การฆ่าศัตรูที่มารุกรานก็ถือว่าผิดศีล มิใช่วิสัยของชาวพุทธ มีชาดกหลายเรื่องที่กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าในชาติก่อนๆ) ที่ใช้ธรรมะหรือสันติวิธีเอาชนะผู้รุกราน เช่น พระเจ้าสีลวะที่ปฏิเสธการสู้รบเมื่อพระเจ้าโกศลยกทัพมาประชิดพระนครทั้งนี้เพราะไม่ประสงค์ให้มีคนล้มตาย แม้จะถูกส่งไปไห้สุนัขป่ากิน ก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองศัตรู เมื่อหนีรอดมาก็ได้กลับมายึดราชบัลลังก์คืนโดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อ อีกเรื่องหนึ่งคือมโหสถ (หนึ่งในทศชาติ) ที่เอาชนะกองทัพผู้รุกรานด้วยการใช้ "ธรรมยุทธ" นั่นคือการชนะด้วยปัญญาและไหวพริบปฏิญาณ
การฆ่าหรือความรุนแรงนั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในทรรศนะของพุทธศาสนา เพราะ "เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร" และ "ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์" การฆ่าย่อมก่อให้เกิดการฆ่าไม่สิ้นสุด ดังนั้น เมื่อมีปัญหาโจรผู้ร้าย พระพุทธองค์จึงไม่เห็นด้วยกับการปราบปรามด้วยการใช้กำลัง หากทรงแนะนำให้ผู้ปกครองปรับปรุงเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน โดยการให้ทุน เช่น พืชพันธุ์ อาหาร และเงิน แก่บุคคลอาชีพต่างๆ
การแก้ปัญหาโดยหลีกเลี่ยงความรุนแรง แต่ใช้สันติวิธีนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย หากต้องอาศัยปัญญาและกรุณามาก โดยเฉพาะเมื่อปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับโจรผู้ร้ายหรือผู้ที่มีอาวุธอยู่ในมือ แต่สำหรับชาวพุทธ การแก้ปัญหาใดๆ ก็ตามจะต้องเริ่มจากความตระหนักว่าความรุนแรงนั้นไม่ใช่วิถีของชาวพุทธ แม้ความรุนแรงนั้นจะกระทำด้วยเจตนาที่ดีเพียงใดก็ตาม ยิ่งการฆ่าด้วยแล้ว มิใช่วิสัยของชาวพุทธที่จะให้ความสนับสนุน อย่าว่าแต่จะลงมือกระทำเลย แน่นอนปัญหาและกรุณาของปุถุชนคนเรานั้นมีขีดจำกัด บางครั้งเรามองไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากความรุนแรง บ่อยครั้งความโกรธเกลียดเข้ามาครอบงำใจจึงตอบโต้ด้วยกำลัง ในกรณีเช่นนั้นพึงตระหนักว่าเราได้คลาดเคลื่อนจากวิถีแห่งพุทธแล้ว และต้องพร้อมรับผลจากการกระทำนั้นๆ ขณะเดียวกันก็พึงแก้ปัญหาปรับปรุงตนเองให้ตั้งมั่นในอหิงสธรรม และไม่พึงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำสิ่งผิดพลาดเช่นเดียวกับเรา
บุคคลแม้จะเลวร้ายเพียงใด เป็นอาชญากร หรือผู้ค้ายาบ้า ก็ตามใครๆ ก็ไม่มีสิทธิตัดรอนชีวิตของเขาได้ เพราะมิใช่เป็นเจ้าของชีวิตของเขา การฆ่าไม่เพียงก่อความทุกข์แก่เขาและตัดรอนโอกาสที่จะได้กลับตัวกลับใจเท่านั้น หากยังก่อวิบากกรรมและบ่มเพาะอกุศลจิตแก่ผู้ลงมือกระทำปาณาติบาตด้วย แม้จะทำด้วยเจตนาดีต่อส่วนรวม คือเพื่อขจัด "คนชั่วร้าย" ออกไปจากสังคมก็ตาม แต่ยิ่งเราใช้ความรุนแรงขจัดคนชั่วร้าย อกุศลจิตจากปาณาติบาตดังกล่าวยิ่งสั่งสมมากขึ้น จนในที่สุดสามารถเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนชั่วร้ายใจคอโหดเหี้ยมเสียเอง ฮิตเลอร์ สตาลิน และ พอลพต ล้วนเป็นผู้ที่กระเหี้ยนกระหือรือในการไล่ล่าสังหารคนชั่วร้ายให้หมดไปจากประเทศของเขา สุดท้ายเขาเหล่านั้นกลับกลายเป็นคนชั่วร้ายยิ่งกว่าคนที่เขาต้องการกำจัดเสียอีก มิไยต้องเอ่ยถึงบินลาเดนกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ของเขา อันที่จริงไม่ต้องดูอื่นไกล ตำรวจที่ชอบใช้วิธีการดิบเถื่อนในการปราบโจร ในที่สุดมักมีจิตใจและพฤติกรรมไม่ต่างจากโจร กล่าวอีกนัยหนึ่งความชั่วร้ายนั้นสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้โดยมีความรุนแรงเป็นพาหะ ตราบใดที่ยังมีความโกรธเกลียดอยู่ในใจ ย่อมง่ายที่จะรับเอาความชั่วร้ายนั้นเข้ามาในสันดานทุกครั้งที่ไปเกี่ยวข้องกับความรุนแรง
ความชั่วร้ายไม่มีวันหมดไปจากสังคมได้ตราบใดที่สังคมนั้นยังนิยมกำจัดคนชั่วร้ายด้วยการฆ่า เพราะการฆ่านั้นจะคอยบ่มเพาะคนชั่วร้ายคนแล้วคนเล่าให้มาแทนที่คนเก่าที่ถูกกำจัด ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเมื่อมีการฆ่ากันบ่อยเข้า วัฒนธรรมแห่งความรุนแรงก็แพร่ระบาดและฝังลึก ผู้คนเห็นกันและกันเป็นผักปลามากขึ้นเรื่อย ๆ มิคสัญญีก็เกิดขึ้นตามมา เมื่อฆ่าคนชั่วได้ง่ายดาย ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ถ้าหากเขาขัดผลประโยชน์ เป็นเพราะทำวิสามัญฆาตกรรมกันเป็นอาจิณใช่หรือไม่การสังหารสองแม่ลูกตระกูลศรีธนขันธ์ ในกรณีเพชรซาอุ เมื่อแปดปีก่อนโดยน้ำมือของคนที่ได้ชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ไม่จำต้องพูดถึงกรณีอื่น ๆ ทั้งก่อนหน้าและภายหลังจากนั้นอีกมากมาย
สังคมใดที่สนับสนุนให้มีการฆ่ากันมากขึ้นโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมและศีลธรรม สังคมนั้นย่อมหาความสุขสงบได้ยาก เพราะอาวุธที่ใช้กำจัดคนชั่วร้ายในที่สุดจะหันกลับมาทำร้ายสุจริตชนในสังคมนั้น นี้เป็นกฎแห่งกรรมที่เราพึงสังวรให้มาก
ในยามที่ผู้คนเห็นดีเห็นงามกับปรากฏการณ์ "ฆ่าทั่วไทย" ในสงครามปราบยาเสพติด พระสงฆ์องค์เจ้าน่ามีบทบาทในการเตือนสติผู้คน รวมทั้งท้วงติงที่รัฐบาลที่สนับสนุนอย่างน้อยก็โดยอ้อมให้เกิดปรากฏการณ์ด้งกล่าว ในยามนี้แทนที่จะสนับสนุนให้รัฐใช้ปาณาติบาตกับอาชญากร จำเป็นอย่างยิ่งที่พระสงฆ์จะต้องยืนยันและเน้นย้ำคำสอนของพระบรมศาสดาว่า ปาณาติบาตนั้นเป็นกรรมหนักที่ก่อผลเสียแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในยามนี้สิ่งที่พระสงฆ์พึงทำคือตั้งมั่นในจุดยืนของชาวพุทธ นั่นคือปฏิเสธการฆ่าในทุกกรณี แม้จะขัดแย้งกับนโยบายของรัฐบาลก็ตาม
ในเรื่องนี้ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต เป็นแบบอย่างที่น่าศึกษา เมื่อครั้งที่ดำรงสมณศักดิ์เป็น พระเทพโมลี ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านเคยเทศน์ว่า วิชาทหารเป็น "ทุวิชา เป็นวิชาชั่วโดยแท้ เพราะขาดเมตตากรุณาแก่ฝ่ายหนึ่ง...เป็นสะพานแห่งความเสื่อมทราม ความฉิบหายโดยแท้" ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังวิพากษ์สงครามโลกครั้งที่ ๑ ว่า ทำ ให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก เกิดความทุกข์ทรมานแสนสาหัสทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะ "อำนาจของวิชาชั่ว"
เทศนาดังตำหนิคู่สงครามทั้งสองฝ่ายและมีนัยยะวิพากษ์นโยบายของรัฐบาลที่ ๖ ที่ส่งทหารไปร่วมรบในมหาสงครามครั้งนั้น ผลก็คือในหลวงทรงกริ้วเป็นอย่างมาก ถึงกับสั่งถอดสมณศักดิ์และกักบริเวณท่านในวัด แต่ด้วยอำนาจแห่งธรรมไม่นานท่านก็พ้นจากราชอาญา อีกทั้งยังได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระธรรมธีรราชมหามุนี
ถ้าหากยังไม่สามารถท้วงติงผู้มีอำนาจอย่างเจ้าพระคุณท่านนั้นได้ อย่างน้อยพระสงฆ์ก็ไม่ควรออกปากสนับสนุนหรือเห็นดีเห็นงามกับการใช้ปาณาติบาตไม่ว่ากรณีใด ๆ ไม่ควรแม้กระทั่งชี้ช่องให้ทำเช่นนั้น สาเหตุก็เพราะ นอกจากหลักธรรมในพุทธศาสนาจะไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้นแล้ว พระวินัยยังไม่อนุญาตอีกด้วยโดยเฉพาะในกรณีที่ระบุอย่างเฉพาะเจาะจง ดังในสมัยพุทธกาลมีพระภิกษุรูปหนึ่งไปที่ตะแลงแกง เห็นเพชรฆาตกำลังทรมานนักโทษก่อนจะประหารชีวิต คงเพราะความหวังดี ท่านได้แนะเพชรฆาตผู้นั้นว่า "อย่าทรมานนักโทษคนนี้เลย จงประหารชีวิตด้วยการฟันครั้งเดียว" ปรากฏว่า เพชรฆาตทำตาม พระภิกษุรูปนั้นเมื่อไปทูลถามพระพุทธเจ้า ก็ได้คำตอบว่าท่านได้ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
เมืองไทยอยากเป็นประเทศอุตสาหกรรมหรือศูนย์กลางเอเชียก็เป็นไปเถิด แต่ยังเป็นเมืองพุทธไม่ได้ ตราบใดที่ผู้คนยังเห็นดีเห็นงามกับการฆ่ากันอย่างอึงคะนึงเช่นทุกวันนี้
|