เสขิยธรรม -
ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เผด็จการ…?

พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ
กลุ่มเสขิยธรรม / skyd.org
ประชาไทดอทคอม

          หลังสงครามเย็น…
          หลังความล่มสลายของมหาอาณาจักรโซเวียต-รัสเซีย…
          หลังจีนหันไป "คบ-ค้า/สมาคม" หรือ "สมาทาน" ทุนนิยมบริโภค…
          หลังจากสหรัฐอเมริกากลายเป็น "เบอร์ ๑ " ของโลก "สมอยาก" หรือ "สมใจ" ที่เคยใฝ่ฝัน…
          ฯลฯ และ ฯลฯ
          กระทั่ง หลังประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ "ฉบับประชาชน"
          และมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาล "เสียงข้างมาก" ในสภาฯ (เสียที!)

          จะมีใครสักกี่คน "จินตนาการได้" หรือ "จินตนาการไว้" ว่า
          จะต้องกลับมาพูดเรื่อง "เผด็จการ" กันอีก!
          เชยเหลือเกิน… เชยสิ้นดีเลย… จริงไหม?

          จริงอยู่ บางประเทศ ประเภท "หัวไร่ปลายนา" ของสังคมโลก อาจยังมีสงครามกลางเมือง หรือปฏิวัติ-รัฐประหาร กันอยู่บ้าง ตามเงื่อนไข-เหตุปัจจัย "จำเพาะ-เจาะจง" ทั้งส่วนตัว(ในประเทศ) และที่มหาอำนาจ หรือชาติอื่นๆ เข้าไปแทรกแซง

          แต่กับประเทศที่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาแล้ว ๗๒ ปี ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่าน การฉีก-การเปลี่ยน รัฐธรรมนูญ มาแล้วเป็นสิบๆ ฉบับ ผ่านวิกฤติต่างๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ มานับไม่ถ้วนครั้ง

          ทั้งด้วยฝีมือของคณะบุคคล และ/หรือ "อัศวินม้าขาว-อัศวินควายดำ-อัศวินคลื่นลูกที่สาม" ก็ตาม

          กระทั่งเจริญรุ่งเรือง ลืมตาอ้าปาก มีบริษัทไทยๆ เป็นเจ้าของดาวเทียม มีนายกรัฐมนตรีเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับโลก ตลอดจนมีหนี้สาธารณะมากมายมหาศาล ตาม "เทรนด์" ของระบบ "เสรีการค้า-เสรีการเงิน" เรียบร้อยไปแล้ว

          ใครจะคิด ว่าวันหนึ่ง นอกวงวิชาการ-วิชาเกิน นอกวิชาประวัติศาสตร์

          "เรา" ยังต้องมาพูดถึง "เผด็จการ" กันอีก

          มิหนำซ้ำ ยังไปกล่าวหาว่า "มหาเศรษฐี CEO" เป็นเผด็จการเข้าให้เสียด้วย!!
          ก็ไหนเชื่อกันมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ ว่า…
          เราปฏิรูปการเมืองแล้ว เป็นประชาธิปไตยแล้ว พัฒนาเศรษฐกิจแล้ว
          พัฒนาอะไรต่อมิอะไรแล้ว เจริญแล้ว…
          หลายคนเชื่อนักเชื่อหนามิใช่หรือ ว่า…
          รวยแล้วดี รวยแล้วน่ารัก รวยแล้วไม่โกง รวยแล้วไม่บ้าอำนาจ!!!

 

          พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายของเผด็จการไว้ว่า
          เผด็จการ น.การใช้อำนาจบริหารเด็ดขาด, เรียกลัทธิหรือแบบการปกครองที่ผู้นำคนเดียว หรือบุคคลกลุ่มเดียวใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดในการบริหารประเทศว่า ลัทธิเผด็จการ, เรียกผู้ใช้อำนาจเช่นนั้นว่า ผู้เผด็จการ.

          ขณะที่ ส. ศิวรักษ์ กล่าวถึง "เผด็จการ" ไว้ใน "อธิบายแนวคิดปรัชญาการเมืองฝรั่ง" (จัดพิมพ์ครั้งที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๖ โดยสำนักพิมพ์ศึกษิตสยาม หน้า ๕๓-๕๕) มีความส่วนหนึ่ง ว่า

          "คำนี้เราแปลมาจากคำอังกฤษ Dictatorship ซึ่งสมัยนี้มีความหมายไปในทางเลวร้าย บ่งถึงการปกครองโดยคนๆ เดียว หรือคณะบุคคล โดยไม่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาราษฎร

          ความจริงก่อนหน้านี้ คำๆ นี้ไม่ได้เป็นคำเสีย แม้รุสโซซึ่งเป็นคนที่รักอิสรภาพเป็นอย่างยิ่ง ยังเสนอแนะว่าในยามฉุกเฉิน รัฐควรปกครองโดยระบอบเผด็จการ ยิ่งโรมสมัยโบราณด้วยแล้ว ใช้ระบอบ dictatura ดังกล่าวอย่างได้ผล เพราะตามปกติแล้ว โรมมีกงสุลสองคนร่วมกันปกครองโดยได้รับเลือกตั้งขึ้นมา ในชั่วระยะเวลาอันจำกัด ในการบริหารงานของรัฐ ต้องตกลงร่วมกันอยู่เสมอ เมื่อเกิดความคับขันขึ้น มักตกลงให้มีดิกเตเตอร์ โดยมอบอาญาสิทธิ์ให้อย่างเด็ดขาด แม้จะขัดขืนกฎหมายก็ยังได้ ตราบใดที่ยังดำรงตำแหน่งดังกล่าว

          แต่สภาก็มักอนุญาตให้ดิกเตเตอร์อยู่ในอำนาจคราวละ ๖ เดือนเท่านั้น ทั้งนี้เพราะชาวโรมันเชื่อว่าถ้ามีอำนาจอาญาสิทธิ์โดยสมบูรณ์ยาวนานว่านี้ ย่อมมีทางที่จะคิดใช้อำนาจไปในทางฉ้อฉลได้ง่ายขึ้น

          เพราะสถานการณ์อันวิกฤติเป็นเหตุให้ต้องมีดิกเตเตอร์ ก็ควรที่ดิกเตเตอร์จะแก้สถานการณ์ให้คืนสู่สภาพปกติได้ภายในครึ่งปี โดยที่มีอำนาจอาชญาสิทธิ์อย่างเต็มที่ในระยะเวลาดังกล่าว

          ดิกเตเตอร์หรือเผด็จการ ในสมัยปัจจุบัน กลายเป็นตัวเลวร้ายก็เพราะพากันหวังอยู่ในอำนาจนานกว่าครึ่งปี ในบางประเทศ เช่น สเปนและโปรตุเกสนั้น บางคนได้ครองอำนาจจนตลอดชีวิตเอาเลย…" (เน้นคำและจัดย่อหน้าใหม่โดยผู้เขียนบทความนี้)

          ท่านพุทธทาสภิกขุเองก็เคยพูดและเขียนไว้หลายครั้ง ต่างกรรมต่างวาระ ทำนองว่า หากเป็น "เผด็จการโดยธรรม" เพื่อที่จะจัดการหรือแก้ไขปัญหาหนึ่งปัญหาใด ให้เด็ดขาด เรียบร้อย และรวดเร็ว ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ดีเสียอีก ที่ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากรอื่นๆ ด้วยการใช้ "ธรรมะในฐานะเครื่องมือ"

          ปัญหาสำคัญคงอยู่ที่ว่า "เผด็จการในเวลาจำกัด" หรือ "เผด็จการโดยธรรม" หรือทั้งสองประการประกอบกัน เพื่อใช้อำนาจอย่าง "เผด็จการที่เป็นธรรม" นั้น ส่วนมาก ยากจะมี, ยากที่จะเกิดขึ้น หรือยากที่จะรักษาไว้ได้ ในความเป็น "ปุถุชน" ของ "ผู้ปกครอง" หรือ "ชนชั้นปกครอง" ผู้ได้รับหรือยึดกุมอำนาจไว้ในมือของตน (และคณะ)

          โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่อำนาจเบ็ดเสร็จ มักเป็นที่มาของ "ผลประโยชน์" อันยิ่งใหญ่และมากมายเสียยิ่งกว่าจำนวนที่ดิน วัตถุมีค่า หรือโภคทรัพย์อื่นๆ เช่นที่ผู้เผด็จการในอดีตเคยได้ หรือเคยมีมาแล้ว

          คงยากที่จะง้างอ้อยจากปากช้าง หรือแย่งหมูออกจากปากหมา หากว่าเผลอเปิดโอกาสให้มัน "งาบ" เข้าไปจนถึงขนาดขย้ำกลืน…

          นี่กระมัง ที่เป็นสาเหตุให้หลายต่อหลายคนไม่เชื่อ ไม่ไว้ใจ หรือรับไม่ได้ ที่จะให้มี หรือให้เกิด ระบอบเผด็จการ หรือ ผู้เผด็จการ ขึ้นมาในบ้านในเมือง (หรือในโลก) ยุคนี้

          กล่าวให้ง่ายเข้าก็คือ ในโลกยุคใหม่ที่ทรัพยากรนับวันจะจำกัด แถมยังเป็นทุนนิยมบริโภค ที่ผลิตมาก-บริโภคมาก ตลอดจนซื้อง่ายขายคล่อง และใช้ระบบการค้าเสรีอยู่ค่อนโลก เมื่อประกอบเข้ากับเทคโนโลยีการผลิต และระบบข้อมูลข่าวสารความเร็วสูงด้วยแล้ว ผู้ที่พอจะรู้ หรือพอมีปัญญาอยู่บ้างย่อม "รับไม่ได้" ที่จะให้ "ใครสักคน" หรือ "หลายคน" เข้ามา ครอบงำ-ครอบครอง แล้ว "กินรวบ" ไปอย่างหน้าด้านๆ

          เพราะนั่นเท่ากับละเมิดสิทธิในการ "กินแบ่ง" ไปพร้อมๆ กับทำลายโอกาสที่จะ "กินนานๆ" ของคนส่วนใหญ่ไปเสีย มิหนำซ้ำ นอกจากลิดรอนเสรีภาพในการกินการใช้เสียแล้ว ยังเอาเปรียบและแทรกแซงคนธรรมดาสามัญคนอื่นๆ เขาด้วย

          นี่เป็นข้อใหญ่ใจความที่คนชั้นกลางยุคหลังทันสมัย "ลุ้น" ไม่ให้มี และ "ยอมไม่ได้" ที่จะให้มี "ระบอบเผด็จการทุนนิยมใหม่" ขึ้นมา

          น่าช้ำใจก็ตรงที่ว่า "อัศวินควายดำ" เอง ก็เห็นและเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เพราะตนเคยประสบมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นละอ่อนในวงการธุรกิจ แต่พอลืมตาอ้าปากได้ กลับใช้ทักษะและปฏิภาณไหวพริบ เล่นบทศรีธนญชัย หาช่องทางเป็น "เผด็จการทุนนิยมใหม่" เสียเอง เพื่อแสวงหา "ช่องว่าง" ที่ตนเคยรังเกียจ แล้ว "กินรวบ" ทั้งทางตรงทางอ้อม แทนที่จะช่วยกันส่งเสริมและสร้างสรรค์ ช่วยกันหาวิธีปิด "ช่องทางมาร" หรือช่วยกันสร้างความเข้มแข็งของการแข่งขันในระบบการค้าเสรี ที่คนชั้นกลางเชื่อถือว่าดีที่สุด

          นี่กระมัง เมื่อผ่านมานานเข้า และเห็นอะไรได้ชัดขึ้น คนเคยเชียร์ และคนเคยชื่นชม "อัศวินคลื่นลูกที่สาม" ก็เริ่มผิดสังเกต เริ่มตั้งข้อสงสัย เริ่มโวยวาย และเริ่มให้บทเรียนแก่ "เผด็จการใหม่" มากขึ้นและมากขึ้น

 

          พุทธศาสนา ให้การยอมรับและเคารพต่อ "ความเป็นผู้นำ" ในหลายบริบท แม้ด้านหนึ่งพระพุทธเจ้าในฐานะพระบรมศาสดาจะทรงสถาปนา "สังฆะ" หรือ "ชุมชน" อันเท่าเทียม ทั้งในส่วนของการร่วมบริหาร และการร่วมใช้ทรัพยากร แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้ความเคารพใน "ภูมิรู้" และ "ภูมิธรรม" อันเป็นสภาวะด้านใน หรือด้านนามธรรมไปพร้อมๆ กัน กล่าวคือ ในส่วนของการจัดตั้งและระบบการบริหารจัดการ สมาชิกในสังฆะต่างมีเสียงเป็น "หนึ่ง" ในการแสดงออกหรือรับรองมติใดๆ ก็ตามของชุมชน แต่ก็ยังมีข้อยกเว้น หรือมอบสิทธิพิเศษต่อผู้มี "คุณธรรมอันยิ่ง" อยู่ด้วยเสมอ ผ่านกระบวนการตรวจสอบและรับรองคุณสมบัติพิเศษเหล่านั้นหลากหลายวิธี ทั้งโดยการรับรองของผู้มีประสบการณ์มาก่อน การประกาศรับรองโดยองค์คณะ หรือโดยการตราไว้ในวินัย หลังมีเหตุให้ต้องกำหนดวิธีปฏิบัติต่างๆ ขึ้น

          กล่าวในส่วนของความเป็นผู้นำ พุทธศาสนาถือว่า "ผู้นำที่แท้" เป็น "สื่อ" ในการแสดงธรรม กล่าวคือ หากผู้นำถือธรรมเป็นใหญ่ เป็น "ธรรมาธิปไตย" ยึดธรรมเป็นสำคัญ เชิดชูหลักการ ปฏิบัติการตาม และเพื่อ เห็นแก่ความเป็นจริง ความถูกต้อง และความดีงาม ไม่เป็นอัตตาธิปไตย (ถือตัวเองเป็นใหญ่) ไม่เป็นโลกาธิปไตย หรือมุ่งแสวงหาความนิยม แสวงหาการยอมรับเป็นที่ตั้ง

          หากวินิจฉัย หรือตัดสินทุกอย่างด้วย "หลักการ" นับแต่หลักการที่เกิดขึ้นโดยการจัดตั้งของมนุษย์ ไปถึงหลักการที่เป็นนามธรรม (ที่รองรับหลักการของมนุษย์นั้น)

          เมื่อทำได้เช่นนั้น การเป็น "ผู้นำ" และ การ "นำ" ดังกล่าว ก็ถือได้ว่าเป็นกระบอกเสียงของธรรม หรือ "ทำหน้าที่ผู้นำเยี่ยงการปฏิบัติธรรม" นั่นเอง

พระพุทธเจ้าโดยพระองค์เองก็อยู่ในฐานะผู้นำโลก และเป็นที่พึ่งของโลก จึงมีพระนามหนึ่งว่า "โลกนาถ" (นาถะในฐานะบุคคล คือ "ผู้นำ", ในทางธรรมถือว่าเป็น "ที่พึ่ง") ด้วยพระปัญญาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระวิสุทธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อสรรพสัตว์

          บางคัมภีร์กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "นายโก" หรือ "นายก" ที่แปลว่า "ผู้นำ" ไว้อย่างชัดเจน

          ขณะที่พระองค์เองทรงวางพระองค์ไว้ในฐานะผู้นำ ประเภท "เพื่อนที่ดี" อย่างน่าสนใจยิ่ง ดังพุทธพจน์ที่ว่า

          "เราเป็นกัลยาณมิตรของสัตว์ทั้งหลาย อาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตร สัตว์ทั้งหลายก็พ้นไปได้จากทุกข์ทั้งปวง"

          ซึ่งในบางที่ขยายความไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นกัลยาณมิตร ที่ค้นพบทาง (มรรค) รู้ทาง และช่วยให้คนทั้งหลายได้ฝึกตนเอง เพื่อก้าวเดินไปบนทาง (มรรค) สายนั้น

          กล่าวโดยสรุปก็คือ พุทธศาสนาเน้นการสร้างชุมชนแห่งความเท่าเทียม ขณะเดียวกันก็ให้โอกาสแก่ผู้มีคุณสมบัติพิเศษ และยอมรับหรือยกย่องผู้นำซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีนั่นเอง

          นี่ฟังดูอาจคล้ายอุดมคตินิยมไปสักนิด โดยเฉพาะผู้ไม่เชื่อว่าสังฆะดังกล่าวเคยมีอยู่จริง แต่จะว่าไปแล้ว เป้าหมายสูงสุดของระบอบประชาธิปไตย หรือระบบการค้าเสรีที่หลายคนเชื่อและยอมรับ ก็ล้วนแล้วแต่ยังเป็นอุดมคติ หรือยังมิมีใครหรือกลุ่มใดเคยก้าวไปถึงอย่างแท้จริงมิใช่หรือ

 

          ถึงวันนี้ จะมากจะน้อย หลายคนก็เชื่อว่าเราฝ่าข้ามอะไรต่อมิอะไรมาแล้วอย่างมากมาย ทั้งระดับปัจเจก ชุมชน สังคม กระทั่งความเป็นรัฐชาติ หรือประชาคมโลก น่าเสียดายที่บางเรื่องราวเสมือนวัฏฏะ หรือ วัฏจักร ที่พร้อมเสมอที่จะย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีก

          บ้างก็ในรูปแบบเดิมๆ บ้างก็ "เปลี่ยนรูป-แปลงร่าง" มาใหม่ จนแรกพบก็จำไม่ได้ หากต่อมาก็ค่อยๆ เผยโฉมแท้จริงออกมา

          น่าเสียดายก็ที่ถึงขนาดนี้แล้วบางคนกลับยังไม่สำเหนียก กลับยังไม่หลาบจำ กลับปล่อยกายปล่อยใจ ให้ขาดสติ กระทั่งที่สุดก็ย่ำเท้าลงบนรอยเดิม บนเส้นทางที่เคยบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มาแล้วแต่เดิม ซ้ำแล้วซ้ำอีก กระทั่งท้ายสุด ทั้งความเป็นผู้กระทำและถูกกระทำ ก็สร้างความเสียหายและบาดแผลเอาไว้เบื้องหลังจนยากที่ตนจะรับผิดชอบได้

          พูดไปแล้วใครจะเชื่อ ว่าวันหนึ่งผู้นำที่เคยมีคะแนนเสียงล้นหลาม เคยได้รับความนิยมสูงสุด และมีฐานะส่วนตัวดีที่สุด กว่าที่ผู้นำใดๆ เคยมีมา ของแผ่นดินที่พระพุทธศาสนาเป็นหลักชัยมานานกว่าสองพันปี จะถูกตั้งข้อสังเกต และถูกตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทุนนิยมใหม่" ซึ่งใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเอื้อประโยชน์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม แก่ตนเองและพวกพ้อง เป็นผู้สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว ด้วยวิธีและกโลบายอันเนื่องด้วยระบบอำนาจนิยมและการใช้ความรุนแรงหลากรูปแบบ เป็นสาเหตุให้เกิดความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของคนในชาตินับจำนวนไม่ถ้วน หรือกระทั่งนำพาประเทศชาติไปสู่ภาวะสูญเสียอธิปไตย และ โอกาสทางการค้า-โอกาสทางเศรษฐกิจ อย่างเหลือคณานับ
          ฯลฯ และ ฯลฯ

          จำเลยและผู้ควรรับผิดชอบคงมีอยู่จำนวนไม่น้อย
          แต่ "ทางออก" เล่า…จะมีอยู่สักแค่ไหนและเพียงใด?
          และ…
          เมื่อใดเล่า?
          ที่เราจะไม่ต้องมาพูดมาคุยประเด็นเชยๆ เช่นนี้กันอีก... .

 
หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | > ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :