เสขิยธรรม
ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

“๓ ร.ร.คริสต์” สั่งห้ามพกมือถือ
พบนักเรียนประสาทหูเสื่อมมากขึ้น

ผู้จัดการรายสัปดาห์ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘

 

        เปิดปฏิบัติการคุมเข้มมือถือ !! ๓ โรงเรียนดัง มาแตร์เดอี-เซนต์คาเบรียล-วัฒนาวิทยาลัย เขตปลอดมือถือ ฝ่าฝืนยึดลูกเดียว ขณะที่เครือข่ายผู้ปกครองมาแตร์ฯ ระบุ พบนักเรียนมีข้อบกพร่องทางการรับรู้ของประสาทหูเพิ่มขึ้น ย่านเซ็นต์คาเบรียลเกิดธุรกิจใหม่เปิดล็อกเกอร์ฝากมือถือ ด้านกระทรวงศึกษาธิการระบุสั่งยาก ห้ามมือถือเข้าโรงเรียน เกรงปัญหาฟ้องร้อง ทำได้เพียงขอความร่วมมือเด็ก-ผู้ปกครอง ส่วนเด็กรุ่นใหม่ยังไม่คำนึงถึงอันตราย หากไม่มีมือถือกลัวตกยุค!

        อันตรายจากคลื่นโทรศัพท์มือถือเวลานี้ กำลังเป็นที่ถกเถียงกันค่อนข้างมากในวงกว้าง แม้ในทางการแพทย์ หรือนักวิชาการที่ทำงานด้านนี้ยังยืนยันไม่ชัดเจน ว่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่รังสีออกมาจากโทรศัพท์นี้จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายหรือไม่ แต่สิ่งที่ย้ำเตือนเวลานี้คือ ความพยายามให้ลดละการใช้ ในขณะที่ภาคธุรกิจกลับทำสวนทางคือ พยายามสร้างแคมเปญค่านิยม แฟชั่น เพื่อจูงใจให้ลูกค้าโดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นหันมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟื่อย

        ขณะเดียวกันมีปรากฏการณ์ใหม่กำลังเกิดขึ้นกับสถานศึกษาที่เป็นโรงเรียนคริสต์ ๓ แห่งสั่งห้ามเดินพกมือถือเข้ามายังโรงเรียน

 

มาแตร์ฯ ห่วงสุขภาพสุดๆ

        ยุผดี ถังทอง อาจารย์ฝ่ายปกครองโรงเรียนมาแตร์เดอี เปิดเผย “ผู้จัดการรายสัปดาห์”ว่า นโยบายของโรงเรียนกำชับอย่างชัดเจนว่า ห้ามนักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือภายในโรงเรียน แต่ไม่ได้ห้ามพกมา เพียงแต่ขอความร่วมมือว่า หากนำมาแล้วต้องฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ของโรงเรียนในตอนเช้าที่มาถึง และเย็นก็สามารถที่จะนำกลับไปได้       

        “นโยบายนี้ใช้มา ๓-๔ ปีแล้ว เราเป็นห่วงเรื่องการเล่นการเรียนของเด็ก เพราะโทรศัพท์มือถือจะรบกวนเวลาเรียนของเด็กภายในห้อง ขาดสมาธิไม่สนใจการเรียนเท่าที่ควร แต่หากมีการฝ่าฝืนใช้ก็จะริบมือถือไว้ แล้วให้ผู้ปกครองมารับคืน เพื่อฟ้องถึงพฤติกรรมของบุตรหลานที่อาจจะไม่รักษากฎระเบียบของทางโรงเรียน และหากยังมีการกระทำดังกล่าวอีกก็จะทำทัณฑ์บน เพื่อตัดคะแนนความประพฤติ ทั้งนี้หากเด็กจะขอใช้ภายในโรงเรียนต้องบอกครูที่ปรึกษา และการใช้งานต้องอยู่ในสายตาของคุณครูตลอดเวลา”

        นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่ทางเครือข่ายผู้ปกครอง และทางโรงเรียนมาแตร์เฝ้าระวังรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง คือ ปัญหาทางด้านสุขภาพ อนามัยของเด็กนักเรียน โดยปกติโรงเรียนจะมีการตรวจร่างกายนักเรียนปีละครั้ง เช่น สุขภาพหู ตา จมูก หรือโรคทั่วไป ซึ่งประสานกันทางเครือข่ายผู้ปกครองที่เป็นกรรมการบริหารส่วนใหญ่ของทางโรงเรียน

        อีกทั้งมีการตรวจประจำเป็นชนิดกลุ่มย่อย พบว่า ขณะนี้เด็กเริ่มมีปัญหาบกพร่องเกี่ยวกับการรับรู้ทางหูเพิ่มขึ้น จำนวนมากพอสมควร แต่ยังไม่ยืนยัน หรือสรุปได้ว่าสาเหตุมาจากอะไร เพราะมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลได้

        “ผู้ปกครองที่เป็นคุณหมอเอง เคยนำเรื่องนี้เข้าหารือและปรึกษากับเครือข่ายผู้ปกครองในรูปกรรมการโรงเรียนอยู่บ่อยๆ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมตลอดเวลา ปกติโรงเรียนจะพบผู้ปกครองเดือนละครั้ง” อ.ยุผดี กล่าว

        ทั้งนี้ทางโรงเรียนให้ความใส่ใจ และสนใจในปัญหานี้ และเฝ้าระวังตลอดเวลา หากมีข้อมูล หรืองานวิจัยเกี่ยวข้องที่เป็นประโยชน์ก็จะแจ้งเตือนนักเรียน ซึ่งข้อมูลอีกหลายๆ ส่วนก็มาจากเครือข่ายผู้ปกครองที่มีมาอย่างต่อเนื่อง และเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทางโรงเรียน

        สำหรับโรงเรียนมาแตร์เดอี ปัจจุบันมีนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวนทั้งสิ้น ๑,๙๐๐ คน

 

เซนต์คาเบรียลคุมเข้ม

        ด้านครูฝ่ายปกครอง โรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล กล่าวว่า โรงเรียนออกกฎเกณฑ์ที่คุมเข้มในเรื่องของโทรศัพท์มือถืออย่างเฉียบขาด โดยห้ามนำเข้ามาในบริเวณโรงเรียน ที่จะถือว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดจากมือถือ

        “เรื่องนี้เป็นนโยบายของโรงเรียน ที่ใช้มาแล้วกว่า ๑ ปี นักเรียนทุกคนรับทราบ และต้องปฏิบัติตามนั้น หากฝ่าฝืนก็ จะยึดเฉพาะเครื่องโทรศัพท์ แต่ถอดซิมการ์ดคืนให้ จนกว่าจะจบการศึกษาในภาคเรียนนั้นๆ จึงจะคืนมือถือให้ แต่จะต้องให้ผู้ปกครองเป็นผู้มารับ ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย (ม.๖)”

       สาเหตุหนักที่โรงเรียนนำมาตรการนี้มาใช้ ได้รับคำชี้แจงว่า เกรงว่าเด็กจะไม่สนใจเรียนเป็นอันดับแรก เพราะจะวุ่นวายกับโทรศัพท์จนขาดสมาธิ อีกประการคือ เกรงปัญหาในด้านสุขภาพของเด็ก เพราะมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงอันตราย แม้จะยังไม่ชัดเจนก็ตาม จึงขอความร่วมมือกับบรรดาผู้ปกครองให้ช่วยดูแลบุตรหลานด้วย

       “เรื่องความห่วงใยปัญหาด้านสุขภาพนั้น ทางโรงเรียนจะมีการพบปะกับนักเรียน (Home School) ก็จะบอกกล่าวและนำข้อมูลมาเล่าให้นักเรียนฟัง เสมอๆ และหลายๆครั้งก็บอกกล่าวบริเวณหน้าเสาธงของโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนทั้งหมดของโรงเรียนได้รับทราบอย่างทั่วถึง” อาจารย์ฝ่ายปกครอง ระบุ

        ทั้งนี้ เซนต์คาเบรียลมีนักเรียนทั้งสิ้น จำนวน ๔,๐๐๐ คน เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย และเป็นโรงเรียนชายล้วน

 

เปิดช้อปฝากมือถือ

        บริเวณหน้าโรงเรียนเซ็นคาเบรียลปัจจุบัน ได้ก่อเกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งประเภท คือร้านรับฝากโทรศัพท์มือถือ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในย่านนั้น และบูมมากๆในช่วงแรกๆ โดย ร้านดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นร้านค้าขายทั่วไป แต่หลังจากที่โรงเรียนกำหนดมาตรการคุมเข้มห้ามมือถือเข้าไปในโรงเรียน ทำให้เด็กจำนวนมากที่พกมือถือมาด้วย เกรงว่าจะถูกยึดไป จึงนำไปฝากร้านค้าไว้เป็นการชั่วคราว หลังเลิกเรียนแล้วจะมารับกลับ

        เดิมนั้น โรงเรียนเองได้จัดเคาน์เตอร์ไว้เพื่อบริการฝากโทรศัพท์มือถือของนักเรียนที่นำมาโรงเรียน แต่เกรงปัญหายุ่งยากติดตามมา เช่น โทรศัพท์สลับเจ้าของ สูญหาย อีกประการคือโรงเรียนไม่อาจจะจัดเจ้าหน้าที่เพื่อมาทำหน้าที่เช่นนี้เฉพาะ สุดท้ายจึงส่งยกเลิก และออกมาตรการห้ามนำมือถือมาโรงเรียน เพื่อตัดปัญหาทั้งการสูญหาย และการลักขโมย

        กิตติศักดิ์ ลิ่วเจริญศักดิ์กูล เจ้าของร้านเจริญชัย เอดยูเทนเมนต์ กล่าวว่า ทางร้านให้บริการลูกค้าเพื่อฝากมือถือเช่นกัน แต่รับฝากเฉพาะลูกค้าประจำของร้าน คนที่รู้จักเท่านั้น โดยไม่คิดค่าบริการ คือฝากเช้ามารับคืนเย็น

        “ได้มีหนังสือจากโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียลเพื่อขอความร่วมมือกับร้านค้าในย่านนี้ ไม่ให้เปิดบริการรับฝากมือถือของเด็ก เพราะเคยมีร้านค้าที่เปิดให้บริการโดยตรงเป็นในลักษณะของล็อกเกอร์ที่เช่าเป็นวันๆ เพราะโรงเรียนเกรงว่าเด็กจะนำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาเก็บไว้ เช่น บุหรี่ หรือสิ่งพิมพ์ เทปโป๊ที่เพื่อนๆนักเรียนลักลอบมาแลกเปลี่ยนกันดู” กิตติศักดิ์ กล่าว

        จากการเดินสำรวจบริเวณย่านดังกล่าวยังมีร้านค้าที่ให้บริการอยู่บ้าง แต่มีจำนวนไม่มาก โดยให้เช่าล็อกเกอร์วันละ ๓๐ บาท และปัจจุบันเด็กก็มาใช้บริการไม่มากนัก

 

“วัฒนาวิทยาลัย” ห้ามใช้

        โรงเรียนประจำอย่างวัฒนาวิทยาลัย ก็เป็นอีกหนึ่งโรงที่มีมาตรการในด้านการคุมสื่อมือถือ เจ้าหน้าที่ระบุว่า เป็นระเบียบของทางโรงเรียนที่นักเรียนทั่วไปต้องยึดปฏิบัติ โดยโรงเรียนจะรับฝากไว้เมื่อเข้ามาในบริเวณโรงเรียนในวันจันทร์ และเมื่อวันศุกร์ที่จะเดินทางกลับบ้านก็จะคืนให้

        สาเหตุหลักที่ห้ามใช้มือถือ คือทำให้เด็กไม่สนใจเรียนเท่าที่ควร ส่วนปัญหาด้านสุขภาพทางโรงเรียนก็คำนึงถึงแต่ยังเป็นเหตุผลรอง

 

ศธ.ระบุข้อมูลต้องชัดจึงสั่งห้ามได้

        คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกดระทรวงศึกษาธิการ กล่าวยอมรับว่า ปัญหาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มาจากมือถือ ยังไม่มีการหารือหรือพูดคุยกันว่าจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กหรือไม่ เนื่องจากไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจน อีกทั้งเรื่องนี้ทางกระทรวงฯ ได้ประสานและรับฟังข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอยู่อย่างใกล้ชิด หากมีปัญหา หรือสัญญาณอันตรายเกิดขึ้นมา ก็พร้อมที่จะสั่งดำเนินการทันที

        “การจะสั่งการอะไรในหน่วยงานราชการเพื่อปฏิบัตินั้น ข้อมูลต้องมีความชัดเจน แม่นยำ เพราะมีข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ ซึ่งอาจจะมีการฟ้องร้องติดตามมา จึงเป็นเรื่องยากลำบากที่จะสั่งการ หรือฟันธงในเรื่องนี้ลงไป อีกทั้งมีสาธารณสุขที่ทำหน้าที่ตรงนี้อยู่แล้ว”

        ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ บอกอีกว่า ที่มอบหมายลงไปคือให้ทางโรงเรียนเป็นผู้พิจารณาจัดการ แต่เรื่องมือถือที่พกพาไปโรงเรียน ไม่ส่งเสริมอยู่แล้ว เพราะเป็นการรบกวนการเรียน และเด็กจะขาดสมาธิในการเรียน และพยายามบอกกล่าวว่าไม่ควรใช้อย่างฟุ่มเฟือย

        อย่างไรก็ดี จากการสอบถามตามโรงเรียนในสังกัด สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พบว่า โรงเรียนใหญ่จะขอความร่วมมือนักเรียนไม่ให้พกมือถือไปโรงเรียน เนื่องจากจะทำให้ไม่ตั้งใจเรียน เพราะมัวแต่สนใจโทรศัพท์ หากมีการฝ่าฝืนก็จะริบ และเชิญผู้ปกครองมาพบ

        “เรื่องนี้เป็นนโยบายของแต่ละโรงเรียนที่ สพฐ. มอบให้ไปจัดการตามความเหมาะสม บางแห่งขอความร่วมมือ บางแห่งก็ห้ามเด็ดขาด” แหล่งข่าวจาก สพฐ. ระบุ นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า การสั่งห้ามเด็ดขาดเรื่องห้ามนำมือถือมาโรงเรียนทำยาก เพราะ สพฐ.มีโรงเรียนอยู่ทั่วประเทศ เพราะอาจจะเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพ ที่ทำได้คือขอความร่วมมือ ซึ่งยอมรับว่าเอกชนทำได้เร็วและคล่องตัวกว่า

        กรณีโรงเรียนสตรีนนทบุรี นักเรียนจะพกมือถือเข้าโรงเรียนในลักษณะหลบซ่อนและแอบใช้ โดยไม่ให้อาจารย์เห็น แต่หากนักเรียนจะนำมือถือไปโรงเรียนก็ต้องไปขึ้นทะเบียนไว้ที่ฝ่ายปกครอง เพื่อรับทราบกฎระเบียบของทางโรงเรียน และต้องยืนยันที่จะปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนที่วางไว้ คือ ต้องไม่ใช้ในเวลาเรียน หากฝ่าฝืนจะถูกตักเตือน ริบของ และทำทัณฑ์บนเชิญผู้ปกครองมาพบ

        สำหรับปัญหาด้านสุขภาพยังมีการพูดถึงกันน้อย เนื่องจากยังมองว่าไม่เคยเกิดขึ้น ได้ยินได้ฟังก็เพียงผิวเผินไม่มีข้อมูลรองรับ อีกทั้งมือถือยังเป็นเรื่องของกระแสความนิยม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และเป็นแฟชั่น เป็นที่ชื่นชอบของนักเรียนทุกระดับ หากไม่มีจะเชย หรือตกยุคได้ นักเรียนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งแสดงความเห็น

 

ผลวิจัยทั่วโลกชี้มหันตภัยมือถือ

       ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยทั่วโลกระบุชัดว่ามีอัตราเสี่ยงสูงที่ สัญญาณวิทยุที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือ จะก่อมะเร็งในสมองได้

       ธุรกิจการสื่อสารในเมืองไทยกำลังจะถึงยุคเปลี่ยนภายในกลางปี ๒๕๔๘ นี้ ด้วยการแปรสัญญาสัมปทานที่จะทำให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ มีกำไรและก้าวสู่ยุคไร้สายไร้พรมแดนมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมีเสียงสะท้อนจากนักวิจัยจากสถาบันต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างกว้างขว้างว่า โทรศัพท์มือถือที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ช่วงนี้จะนำมาซึ่ง มะเร็ง และกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้

       ทุกครั้งที่มีการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น จะมีการแผ่รังสีผ่านไปทางเสาอากาศ รังสีเหล่านี้ เป็นชนิดเดียวกับ ที่เราใช้อุ่นอาหารซึ่งก็คือ "เตาไมโครเวฟ" เพียงแต่ปริมาณของรังสีนั้นมีน้อยกว่ามาก แต่ปัจจุบัน ยังไม่มีงานวิจัย ที่อ้างอิง ถึงผลกระทบที่เกิดจาก การส่งผ่านความร้อนผ่านสมองมนุษย์ ขณะที่เราใช้โทรศัพท์มือถือ ว่าจะมีอันตราย หรือผลกระทบมากน้อยเพียงใด

       สำหรับการค้นคว้าวิจัยปัจจุบัน นักวิจัยส่วนใหญ่มุ่งไปที่ ๒ ประเด็นใหญ่คือ การแพร่กระจายของคลื่นความถี่ที่มีผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ และความเข้มข้นของความถี่ที่มีผลกระทบต่ออวัยวะ แต่ละชนิดภายในร่างกายของมนุษย์ ทั้ง ๒ ประเด็น มีวัตถุประสงค์เพื่อจะหาวิธีป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้น

       โดยเรื่องที่กำลังถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดในปัจจุบันก็คือ "โทรศัพท์มือถือก่อให้เกิด โรคมะเร็ง ได้หรือไม่" ประเด็นนี้ ยังไม่มีข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างไร แต่จากงานวิจัยหลาย ๆ แห่งพอจะสรุปได้ว่า มีอัตราเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ โดยมีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งอ้างถึงการทดลองที่ได้ทำกับหนู แสดงให้เห็นว่า มีการเปลี่ยนแปลง ในระดับของ ยีน และดีเอ็นเอ ของหนูโดยตรง คือทั้งยีนและดีเอ็นเอนั้นจะค่อย ๆ ถูกทำลายลงไปเรื่อย ๆ

       อีกทั้งงานวิจัยมหาวิทยาลัยชั้นนำ เช่น มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ (University of Helsinki) ประเทศฟินแลนด์ มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University) ประเทศสหรัฐอเมริกา และ มหาวิทยาลัยบริสตอล (University of Bristol) ประเทศอังกฤษ ได้ศึกษาเกี่ยวกับ ผลกระทบ ทางร่างกาย ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ และได้ข้อสรุปในแนวทางเดียวกันคือ "ระบบประสาทของผู้ใช้โทรศัพท์ มือถือ จะตอบสนองรวดเร็วขึ้น" เสมือนการดื่มกาแฟที่ทำให้ระบบประสาทของผู้ดื่มมีอาการตื่นตัว ซึ่ง ในระยะสั้นอาจจะมีผลกระทบไม่มากนัก แต่ในระยะยาวนั้นยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดได้ในขณะนี้

       ด้านประธานคณะกรรมการป้องกันรังสีแห่งชาติของอังกฤษ ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยอิสระกล่าวว่า ขณะที่ยังไม่เคยมีผลวิจัยชัดเจนออกมาว่า โทรศัพท์มือถือก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพเช่น ทำให้ปวดศีรษะ หรือทำให้เกิดเนื้องอกในสมอง แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าโทรศัพท์ปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ ก่อนหน้านี้ เมื่อ ๕ ปีก่อน ผู้ประกอบการโทรศัพท์มือถือในอังกฤษเคยตกลงกันว่า จะไม่ทำการตลาดขายโทรทัพท์ไปยังกลุ่มวัยรุ่น หรือการโฆษณาในช่วงที่เด็ก ๆ รับชมรายการ คาดว่าภายในปีนี้คาดตลาดมือถือจะเฟื่องจะมียอดขายพุ่งถึง ๖๕๐ ล้านเครื่อง

        ผลวิจัยของโมไบล์ยูธ บริษัทที่ปรึกษาของบรรดาเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนก่อนมีรายงานในอังกฤษเสนอไม่ให้ผู้ปกครองให้เด็กเล็ก ๆ ใช้โทรศัพท์มือถือ พบว่า บรรดาผู้ปกครองวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของเด็ก มากกว่าผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือ โมไบล์ยูธ ซึ่งเตรียมจะเผยแพร่รายงานการวิจัยประจำปีล่าสุดเกี่ยวกับตลาดมือ

       สำหรับวัยรุ่น คาดว่าในปีนี้ จะมีโทรศัพท์มือถือถึง ๔.๗๖ ล้านเครื่องขายให้แก่เด็กในอังกฤษ อายุระหว่าง ๕-๑๔ ปี เพิ่มขึ้นจากเมื่อปีที่แล้ว ที่มีจำนวน ๔.๓๗ ล้านเครื่อง

 

ตั้งชุดศึกษาอันตรายคลื่นมือถือ!!
แพทย์จุฬาฯดูมะเร็ง - ราชวิถีเช็คการสืบพันธุ์

        “สสวทท”ตื่นตัวรับกระแสนวัตกรรมก่ออันตราย รับเป็นเจ้าภาพตั้งทีมงานวิจัยผลกระทบจากคลื่นมือถือ ระดมผู้เชี่ยวชาญ หมอเกือบทุกร.พ.ยำใหญ่ จากจุฬาฯ ดูด้านมะเร็ง ราชวิถีดูระบบเจริญพันธ์ที่มีผลต่ออสุจิ ก่อนสัมนาใหญ่อีกครั้ง ๑๕ มี.ค.นี้

        สัญญาณอันตรายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ ณ วันนี้ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนถึงอันตรายว่าส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่ และผู้ที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็น นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ควรจะปฏิบัติตัวหรือใช้อย่างไร ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ หรือจากแพทย์ ล่าสุด สภาสมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (สสวทท.) กระทรวงวิทยาศาสตร์ ได้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหนึ่งชุด เพื่อศึกษาอันตรายของพิษภัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากโทรศัพท์มือถือโดยเฉพาะ

        ทั้งนี้ คณะศึกษาชุดนี้ประกอบไปด้วย แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเกือบทุกโรงพยาบาล อาทิ แพทย์จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ จะดูอันตรายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากมือถือ เกี่ยวข้องโรคมะเร็ง (สมอง) ส่วนแพทย์จากโรงพยาบาลราชวิถี จะเฝ้าติดตามผลกระทบในระบบเจริญพันธุ์ (ระบบยูโร) โดยเฉพาะผลกระทบต่ออสุจิ ที่ก่อนหน้าที่มีการวิจัยพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดังกล่าว จะทำให้อสุจิในผู้ชายลดน้อยลง หรือไม่แข็งแรง อาจจะส่งผลให้เป็นหมันได้ หากพกมือถือไว้บริเวณเอว

       นอกจากนี้ ยังมีบุคคลส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมทำงาน เพื่อเฝ้าติดตาม และจับตาเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด หลังจากที่มีรายงานจากต่างประเทศออกมาเป็นระยะๆ ถึงอันตรายที่แอบแฝงเข้ามา และเป็นอันตรายที่อยู่ใกล้ตัว โดยที่ไม่มีใครคาดคิด จึงต้องการให้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง

        “สสวทท.เป็นหัวเรือใหญ่ที่ต้องการลุยเรื่องนี้ เพื่อศึกษารองรับไว้สำหรับอนาคต หลังจากที่มีการร้องเรียน และฝากเตือนจากหลายฝ่ายในเรื่องพิษภัยของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากมือถือ แต่ในประเทศไทยกลับไม่มีการศึกษา หรือติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง หรือเป็นระบบ” แหล่งข่าว ระบุ

        ขณะนี้อยู่ระหว่างการฟอร์มทีมงานโดยจะระดมทุกส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อศึกษาผลกระทบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้โดยตรง และจะมีการสัมนาใหญ่อีกครั้งในวันที่ ๑๕ มีนาคมนี้

        “เป็นครั้งแรกที่จะมีคณะทำงานศึกษาเรื่องนี้โดยตรง ก่อนหน้านี้มีกลุ่มแพทย์ที่สนใจจะศึกษาเรื่องนี้ แต่เมื่อเสนอไปก็ถูกสั่งระงับ เพราะหน่วยงานที่สังกัดอยู่ไม่ให้การสนับสนุน และเกรงว่าจะมีปัญหาติดตามมาภายหลัง เรื่องนี้มีผลประโยชน์ในด้านธุรกิจจำนวนมหาศาลเข้ามาเกี่ยวพัน ในต่างประเทศก็มีความเห็นแยกเป็นสองฝ่ายคือ สนับสนุนและคัดค้านอันตรายของมือถือ โดยผูกโยงกับผลประโยชน์เช่นกัน”

        มีรายงานว่า ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และมีหน้าที่โดยตรงในการติดตามและดูแลปัญหานี้ คือสำนักงานปรมาณูสันติภาพ ซึ่งมีการศึกษาอยู่เงียบๆ แต่ไม่มีการนำข้อมูล หรือเนื้อหาของอันตราย หรือบอกกล่าวเรื่องนี้ให้ชัดเจนออกมา ทำให้สังคมไทยยังขาดองค์ความรู้ในด้านนี้โดยเฉพาะ

        ขณะนี้ มีบริษัทเอกชนบางรายได้นำเครื่องมือที่เรียกว่า ตัวตัดสัญญาณอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ Emron ที่เป็นตัวแปรสันญาณความถี่ให้ต่ำลง โดยจะติดไว้บริเวณเครื่องโทรศัพท์ เพื่ออไม่ให้อันตรายจากรังสีคลื่นดังกล่าวมากระทบกับผู้ใช้ ทำหน้าที่เสมือนการดักจับ ซึ่งในต่างประเทศกำลังได้รับความนิยม เพราะเป็นนาโนเทคโนโลยีใหม่ที่นำเครื่องจากอเมริกา ในราคาเครื่องละ ๑,๓๐๐ บาท ใช้งานได้ประมาณ ๒ ปี

        โดยก่อนหน้านี้ มีรายงานบางส่วนแจ้งว่า จำนวนผู้ป่วยเกี่ยวกับการรับฟังทางประสาทหู (หูบกพร่อง) มีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่แพทย์ก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้โดยชัดเจนว่า มีผลมาจากการใช้มือถือ เพียงตั้งข้อสังเกตและพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้มือถือของผู้ป่วยเท่านั้น เพราะเกรงปัญหาการฟ้องร้องติดตามมา ..*

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | > ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :