สงครามในความรู้สึก
โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
คอลัมน์ ชั่ว ๆ ดี ๆ
มติชนรายวัน วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๙๑๕๐
ผมเชื่อว่าตัวเองคงไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกหดหู่ใจขณะเฝ้าตามข่าวสงครามอิรักทางจอโทรทัศน์... เพราะสิ่งที่เราเห็นแท้จริงแล้วก็คือการถ่ายทอดสดการฆ่ากันระหว่างมนุษย์นั่นเอง
แม้เราจะไม่ค่อยได้เห็นภาพคนตายอย่างชัดเจน แต่เราก็รู้ว่ามีคนตายไปไม่น้อย และตายในวินาทีเดียวกันกับภาพควันระเบิดที่พวยพุ่งขึ้นมาบนจอ ตายในห้วงยามเดียวกันกับภาพเปลวเพลิงที่เราเห็นโหมลามอยู่ตามตึกรามบ้านช่อง หรือตายพร้อมภาพปืนใหญ่กระตุกตัวส่งเสียงกึกก้องคำราม
ใช่...เทคโนโลยีข่าวสารแห่งยุคปัจจุบันทำให้เราได้รับรู้สภาพเหล่านี้ ในเวลาเดียวกับที่เหตุการณ์เกิดขึ้น และกลายเป็นประจักษ์พยานของเรื่องร้ายไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ก็อีกนั่นแหละการที่สงครามถูกถ่ายทอดสด ย่อมทำให้จอทีวีกลายเป็นสนามรบไปอีกแบบหนึ่ง ทุกฝ่ายต่างพยายามแถลงข่าว หรือนำเสนอภาพเหตุการณ์ เพื่อคัดหางเสือความคิดของผู้ชมให้หันไปในทิศทางที่ฝ่ายตนต้องการ
ใครไม่รู้เคยกล่าวไว้ว่า "สัจจะคือผู้ถูกสังหารรายแรกในสงคราม" เรื่องนี้ผมคิดว่ามีมูลอยู่พอสมควร ภาพที่เราเห็นบนจอทีวีนั้นเป็นเพียงภาพบางส่วน และต่อให้เรื่องราวยุติลงในวันหน้าบางทีเราก็อาจจะไม่มีวันได้ทราบความจริงทั้งหมดเลย
อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวสงครามในอิรักของเครือข่ายโทรทัศน์ต่าง ๆ แม้จะไม่ได้เสนอความจริงอย่างครบถ้วน แต่ก็ให้ข้อเท็จจริงหลายอย่างที่เป็นภาพของสงคราม และให้มากพอที่จะทำให้เราเกิดอาการปั่นป่วนทางความคิดจิตใจได้ทั้งวัน
สิ่งแรกสุดที่เราสามารถตรวจสอบได้คือดีกรีความเป็นมนุษย์ของตัวเอง... เราแปลบปลาบในหัวใจทุกครั้งหรือไม่ที่เห็นเปลวไฟม้วนตลบขึ้นมาจากซอกมุมต่าง ๆ ของกรุงแบกแดด หรือว่าเราแค่รู้สึกตื่นเต้นเร้าใจ กระทั่งหงุดหงิดที่กองทัพอเมริกันและพันธมิตรไม่บุกเข้ายึดเมืองหลวงของอิรักเสียที
พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ...ข่าวสงครามทำให้เราต้องถามตัวเองว่าเป็นแค่ผู้ชมโทรทัศน์ที่กำลังสนุก กับ "รายการพิเศษ" หรือเป็นสมาชิกของมนุษยชาติที่ร้อนหนาวไปกับโศกนาฏกรรมของเผ่าพันธุ์ ?
แน่ละ สำหรับทหารที่เข้าสู่สนามรบโดยตรง สภาพจิตย่อมแตกต่างออกไปจากเราท่านซึ่งเป็นได้อย่างมากแค่ผู้รู้เห็นเหตุการณ์
ไม่เพียงแต่พวกเขาจะเห็นความตายของคู่ต่อสู้หรือความตายของตนเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้น... คนเราเมื่อถูกส่งไปฆ่าคนอื่นหรือไปถูกคนอื่นฆ่า ย่อมต้องมีสิ่งเชื่อถือบางอย่างที่มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
ฝ่ายสหรัฐเรียกสงครามครั้งนี้ว่าปฏิบัติการ "เสรีภาพอิรัก" ซึ่งมีความหมายทางการเมืองอย่างเต็มเปี่ยม และแทบไม่ต่างอะไรกับสงครามอุดมการณ์ในอินโดจีนเมื่อสามสี่ทศวรรษก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่ว่านักการเมืองอเมริกันจะมีวาระแฝงเร้นอันใดก็ตาม สิ่งที่ทหารอเมริกันยึดถือไว้อธิบายให้ตัวเองฟังในสนามรบ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย... ซึ่งเป็นภารกิจที่ "ยิ่งใหญ่" พอที่จะทำให้พวกเขาเข้าไปทำอะไรในประเทศอื่นได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ
กล่าวสำหรับทางฝ่ายอิรักก็เช่นกัน การรุกเข้ามาของกองทัพอเมริกันและพันธมิตร ย่อมทำให้ระบอบการปกครองของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซ็น กลายเป็นประเด็นรองไปทันที เฉพาะหน้าพวกเขามีแต่ภารกิจอัน "ศักดิ์สิทธิ์" ในการปกป้องปิตุภูมิ
แต่เอาเถิด...ทหารอเมริกันหรือทหารอิรักจะเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งใดก็ยกไว้ก่อน ถือเสียว่ามันเป็นความจำเป็นทางจิตใจของคนที่อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย
ประเด็นสำคัญสำหรับคนที่เฝ้าจอโทรทัศน์อยู่นับร้อยล้านในโลก น่าจะใหญ่กว่านั้นเยอะและเกี่ยวข้องอนาคตของมนุษยชาติทั้งปวง
เคลาสวิทซ์...นักการทหารเยอรมันผู้โด่งดังเคยกล่าวไว้ว่า "สงครามคือสิ่งสืบเนื่องมาจากการเมือง โดยอาศัยวิธีการอื่น" (War is the continuation of politics by other means.) ถ้าเราเอาประโยคนี้มาครุ่นคิด ก็คงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าแล้วการเมืองที่นำมาสู่การทหารในอิรักมันคืออะไรกันแน่
ทำไมอยู่ดีๆ อภิมหาอำนาจผู้ทรงพลังที่สุดในโลก จึงมีนโยบายการเมืองที่จะไม่อดทนกับระบอบการปกครองที่ต่างกัน และถือตนว่ามีสิทธิอัน "ชอบธรรม" ที่จะยกกำลังเข้าไปปลูกฝัง "เสรีภาพ" ให้กับประเทศเล็กประเทศน้อยทั้งหลาย
แล้วพูดก็พูดเถอะ...อะไรจะเกิดขึ้นกับโลก ถ้าหาก "ประชาธิปไตย" ที่ถูกนำเข้าจากภายนอกเช่นนี้ถูกมัดรวมไว้อย่างแน่นหนากับลัทธิเสรีนิยมใหม่ ทั้งในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ครับ ผมเกรงว่าเรื่องทั้งหมดมันจะไม่หยุดอยู่ที่อิรัก เพราะโลกนี้ยังมีระบอบการปกครองที่หลากหลายอยู่มาก ยังไม่ต้องเอ่ยถึงวิวัฒนาการทางสังคมที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้หลายแห่งไม่อาจเข้าสู่โลกาภิวัตน์ได้อย่างเต็มเนื้อเต็มตัว
เป็นไปได้ไหมว่าจากนี้ไปอีกหลายๆ ปี เปิดทีวีช่องไหนก็จะมีแต่ถ่ายทอดสดสงคราม ..
|