เสขิยธรรม -
ประเด็นร้อน
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์
มองสงคราม (บุชVSซัดดัม) หาความชอบธรรม
โดย พระศรีปริยัติโมลี (สมชัย กุสลจิตฺโต)

มติชนรายวัน คอลัมน์ศาสนาและชุมชน วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ปีที่ ๒๖ ฉบับที่ ๙๑๕๒ หน้า ๗

          คติธรรมชาวพุทธมีว่า อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด (หลายเรื่อง) ยับยั้งหรือห้ามกันมิได้เลย สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักก็คงทำนองเดียวกัน คนส่วนใหญ่ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น (จะแสดงออกหรือไม่ก็ตาม) แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ นับแต่วันที่สงครามเริ่มปะทุขึ้น (๒๐ มี.ค. ๒๕๔๖) ถึงวันที่เขียนบทความนี้ก็หนึ่งสัปดาห์พอดี

          ความโหดร้ายและความสูญเสียก็เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น ประกอบกับเสียงต่อต้านสงครามดังกระหึ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเอง รวมไปถึงเสียงอ้อนวอนขอให้ยุติความโหดร้ายและความสูญเสียลงโดยเร็วด้วย

          ขณะที่กองทัพของฝ่ายพันธมิตรอเมริกากับอังกฤษโจมตีกรุงแบกแดดด้วยข้ออ้างว่า เพื่อปลดปล่อยชาวอิรัก ขจัดจอมเผด็จการซัดดัม ฮุสเซน และขจัดอาวุธที่มีศักยภาพทำลายล้างสูง (อาวุธเคมีและชีวภาพ) ทางฝ่ายรัสเซียและกลุ่มประเทศอาหรับก็ประณามว่า ประธานาธิบดีบุชนั่นแหละคืออาชญากรสงครามและผู้รุกรานตัวจริง ไม่ยอมรับแม้แต่มติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

          ดังนั้น เราลองมาวิเคราะห์กะเทาะเปลือกสงคราม-ความรุนแรงเพื่อหาความชอบธรรม ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมกันดูหน่อยว่า มันมีอยู่บ้างหรือไม่หนอ ไอ้เจ้าสงครามที่ชอบธรรมน่ะ? แล้วระหว่างบุชกับซัดดัม ฝ่ายไหนน่าจะมีความชอบธรรมมากกว่ากัน รวมไปถึงบรรดากองเชียร์ด้วย มีความเป็นธรรมกันบ้างไหม?

 

สาเหตุแท้จริงแห่งสงคราม

          คราวนี้นักวิชาการ (และวิชาไม่ได้การ) ส่วนมาก ทั้งไทยและเทศ ต่างก็เพ่งโทษไปที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐอเมริกา ว่าเป็นตัวร้ายกระหายสงครามและเป็นผู้รุกราน เพราะเหตุผลดังนี้

๑.ต้องการครอบครองบ่อน้ำมันของอิรัก ซึ่งมีมากเป็นอันดับสองรองจากซาอุดีอาระเบีย

๒.ต้องการปราบอิรักและใครก็ได้ที่คิดแข็งข้อหรือยืนอยู่นอกแถวที่อเมริกาจัดให้ เพราะอเมริกาใครๆ ก็รู้ว่า เป็นนับเบอร์วัน-ผู้ยิ่งใหญ่หมายเลขหนึ่งของโลก (และต้องการเป็นหนึ่งเดียวด้วย)

๓.ต้องการแสดงแสนยานุภาพด้านอาวุธที่ใช้เทคโนโลยีสูง เป็นเหมือนการออกงาน-สาธิตอาวุธร้ายแรงต่างๆ นั่นหมายถึง ธุรกิจด้านอาวุธคงจะเฟื่องฟูขึ้นหลังสงครามสงบ

          แต่กว่าจะมาถึงสาเหตุข้อใดข้อหนึ่งข้างต้นนั้น อย่าลืมว่าสหรัฐอเมริกาเป็นชาติที่ผ่านสงครามมาโชกโชน ต้องสู้กับอินเดียนแดงเจ้าของถิ่น แล้วก็มาสู้กันเอง เป็นสงครามกลางเมืองใช่ไหม? นอกจากนี้ โดยธรรมชาติของคนอเมริกันก็ค่อนข้างเชื่อมั่นตนเอง บุกรุกไปข้างหน้าที่เรียกว่า "Frontier" ข้างหน้าย่อมดีกว่าที่นี่ปัจจุบันนี้ ประกอบกับนิสัยที่คิดจะเอาชนะธรรมชาติด้วย บุคลิกจึงดูเร่งรีบ เร่าร้อน รนราน ก้าวร้าวอยู่บ้าง

          มองในแง่มุมของพระพุทธศาสนาแล้ว สาเหตุที่แท้จริงของสงครามก็คือ ตัณหา-ความทะยานอยากไม่รู้จักพอ มานะ-ความเย่อหยิ่ง อวดอำนาจ ประกาศศักดา และทิฐิ-ความเชื่อถือผิด ๆ ที่ว่านี้รวมไปถึงฝ่ายประธานาธิบดีซัดดัมแห่งอิรักด้วย

          ลึกๆ แล้ว พวกเขาจะรู้กันไหมว่า กำลังทำลายเพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติแวดล้อม และโบราณสถานแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียอันเก่าแก่ เพื่อผลประโยชน์เงินทองและอำนาจนั่นเองใช่ไหม?

 

สงครามกับความชอบธรรม

          มุมมองทางโลกกับมุมมองทางธรรมในเรื่องนี้มักตรงกันข้ามเสมอ สมมติท่านบุชมีความตั้งใจดีจริง ๆ ต้องการจะปลดปล่อยประชาชนชาวอิรักจากระบอบของท่านซัดดัม เลยต้องยอมเจ็บตัวให้คนก่นด่ากันในเกือบทุกประเทศทั่วโลก (บางส่วน) อย่างนี้มุมมองทางโลก การทำสงครามของท่านบุชก็จัดเป็นความชอบธรรม เป็น "ธรรมสงคราม" ได้

          ในฝ่ายท่านซัดดัมก็เช่นเดียวกัน เพราะท่านหลังพิงฝาจำเป็นต้องปกป้องตนเอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และประชาชาติของท่าน การทำสงครามของท่านซัดดัมในทางโลกก็จัดว่าชอบธรรม หรือเป็น "ธรรมสงคราม" ได้อีกเช่นกัน

          แต่ในทางธรรม-ทางพระพุทธศาสนาแล้ว การทำลายชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นจัดเป็นการทำบาป ทำอกุศลกรรมทั้งนั้น พระพุทธศาสนาไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่การเข่นฆ่าผู้อื่นเพื่อป้องกันตนเอง หรือทำสงครามเพื่อปกป้องเกียรติศักดิ์ศรีหรือศาสนาของตน

          ที่กล่าวดังนี้ เพราะคำสอน-ธรรมชาติของพระพุทธศาสนามีลักษณะเป็นสากล มิได้แบ่งแยกชาติ ชั้น วรรณะ กลุ่มคน และลัทธิศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้เราทุกคนมีความรักใคร่ เมตตาการุณย์ ปรารถนาจะเปลื้องทุกข์ให้สรรพสัตว์ทุกรูปทุกนาม

          อีกประการหนึ่ง ได้โปรดจำไว้ว่า เรื่องศาสนา คือ เรื่องความรักความเมตตา การให้อภัยแก่กัน ความเป็นธรรม ความชอบธรรม ส่วนเรื่องสงคราม คือ เรื่องความโหดร้าย ความโกรธเกลียด การทำร้ายประหัตประหารกัน ดังนั้น เรื่องศาสนากับสงคราม จึงเป็นเสมือนขาวกับดำ กลางวันกับกลางคืน เป็นดั่งเส้นขนานที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้เลย

          จึงกล่าวได้ว่า ในสงครามหรือในบุคคลผู้ก่อสงครามนั้น ไม่มีศาสนา ไม่มีพระเจ้า ไม่มีความเมตตาการุณย์ ไม่มีการให้อภัย จึงรวมๆ เรียกว่า "ไม่มีความชอบธรรม ไม่มีความเป็นธรรม ไม่มีความยุติธรรม" นั่นเอง

          พูดกลับกันก็ได้ว่า คนที่มีศาสนา มีธรรม มีความเมตตาการุณย์ ฯลฯ ไม่มีทางที่จะก่อสงครามขึ้นมาเลย ดังภาษิตว่า "เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวรไม่ว่ากาลไหนๆ แต่ระงับได้ด้วยความไม่มีเวร คือ ความรัก (ของพุทธ) ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย (ของคริสต์) จงวางมือจากความพยาบาทเสียแล้วท่านจะมีจิตและหัวใจที่สงบ (ของอิสลาม)"

 

ต่อต้านสงครามเพื่อกู-พวกกู

          ในช่วงสงครามนั้น นอกจากจะหาความชอบธรรม-ความเป็นธรรมไม่ได้แล้ว ก็ยังหาความจริงได้ยากพอๆ กันด้วย ตอนนี้ชาวไทยก็กำลังเครียดกันมาก เพราะข่าวสงครามท่วมจอและท่วมใจ แยกไม่ออกว่าสำนักข่าวไหนนำเสนอข้อมูลที่แท้จริงหรือสำนักข่าวไหนนำเสนอข้อมูลเท็จ ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

          คนก่อสงครามทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างว่าทำเพื่อมวลมนุษยชาติ เพื่อสันติภาพโลก คนออกมาต่อต้านสงครามก็ออกมาต่อว่าเจ้าพวกก่อสงคราม ว่าเป็นซาตาน (ชัยตรอน) มาร ปีศาจร้ายรุกรานทำลายโลก เข่นฆ่า เด็ก สตรี ผู้ไร้เดียงสา

          หากพิจารณาให้ลึกซึ่งลงไปก็จะเห็นว่า แม้พวกออกมาต่อต้านสงครามก็เถอะ ก็ยังมีลักษณะดับเบิลสแตนดาร์ด มีแรงจูงใจเบื้องหลังต่างกัน เช่น คนอเมริกันกับคนอังกฤษออกมาต่อต้านสงคราม คัดค้านประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรีของตนเอง น่าจะเป็นเพราะห่วงกลัวว่าสามี คู่รัก ลูกชาย พี่ชาย น้องชาย ที่ถูกเกณฑ์ให้ไปรบจะได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ คงมิได้ห่วงกลัวว่าสตรี เด็ก และประชาชนชาวอิรักจะโดนระเบิดเสียชีวิตหรือพิการหรอก จริงไหม? พี่น้องชาวไทยที่ออกมาคัดค้านสงครามครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่ามีทั้งที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อยู่ในหลักเมตตาธรรมสากลจริงๆ และก็คงมีบางส่วนเหมือนกันที่มีความรู้สึกนิยมเฉพาะกลุ่มเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

          ว่าไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นอคติของมนุษย์สามัญทั่วไป ถ้ามีมากเกินพอดี ก็อาจนำไปสู่ความแบ่งแยกเป็นกลุ่ม เป็นคณะ เป็นชาติ เป็นลัทธิศาสนานิยม จุดจบอาจจะเหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนี้

          ความจริงมนุษยชาติก็รู้มานานแล้วว่า สงครามไม่มีใครได้อะไรเลย มีแต่ความสูญเสีย สงครามไร้ความเมตตาปรานี ไม่มีการให้อภัยแก่กัน และหาความสัตย์จริงมิได้ นั่นหมายถึงสงครามไม่มีความชอบธรรม ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนา ถึงกระนั้น ในสังคมมนุษย์ชาติก็ไม่เคยว่างเว้นจากสงครามเลย ผู้เป็นต้นเหตุแห่งสงครามก็มักจะอ้างความชอบธรรมกันอยู่ตลอดเวลา

          มูลเหตุที่แท้จริงของสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักคราวนี้ คงมิใช่อยู่ตื้น ๆ แค่เพียงเรื่องธุรกิจบ่อน้ำมัน จัดระเบียบโลกใหม่ หรือค้าขายอาวุธ แต่มันลึกลงไปถึงผลประโยชน์เงินทอง อำนาจราชศักดิ์ ซึ่งหลั่งไหลออกมาจากตัวการใหญ่ คือ ตัณหา มานะ และทิฐิ ที่ก่อขึ้นในใจของผู้นำเพียงไม่กี่คนนั้นต่างหากเล่า

          เมื่อสงครามสัประยุทธ์กันในแต่ละครั้ง ผู้ล้มตาย พิการ บาดเจ็บ และพลัดพรากจากกัน คือ ผู้คนธรรมดา ชาวบ้าน ซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ โดยเฉพาะสตรี เด็ก คนชรา แต่มักจะมิใช่ตัวผู้นำที่เป็นต้นเหตุแห่งสงครามหรอก

          หากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนำมาซึ่งความเจริญก้าวหน้า เพื่อสร้างสมอาวุธที่มีศักยภาพทำลายล้างชีวิตมนุษย์นับเป็นหมื่นเป็นแสน หรือสร้างความตระหนกตกใจก่อให้เกิดหวาดกล้วแล้ว พวกเราจะศึกษาเล่าเรียน ทำวิจัย แล้วก็พัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกันไปทำไม?

          เพราะสุดท้ายพวกเราก็พัฒนากันไปเพื่อนำก่อสงครามทำลายล้างตนเอง มวลมนุษยชาติ และมรดกอารยธรรมของโลกนั่นเอง .. .

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ภายใต้มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ๑๔/๖๓ หมู่บ้านสวยริมธาร ๒ ซอย ๕
ถนนทวีวัฒนา-กาญจนาภิเษก แขวง/เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ ๑๐๑๗๐
โทร. ๐๒-๘๐๐-๖๕๒๖ ถึง ๘, ๐๖-๗๕๗-๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๘๐๐-๖๕๔๙
... e-mail :