เบียร์ช้างโดยบริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจน์ จำกัด จะเข้าตลาดหลักทรัพย์
แต่เข้าไม่ได้ ไม่ใช่เพราะช้างตัวใหญ่ตัวโต หากเป็นเพราะเครือข่ายองค์กรประชาชนกับเครือข่ายงดเหล้าเคลื่อนไหวประท้วง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ จึงเลื่อนการพิจารณาการรับริษัท ไทยเบฟเวอร์เรจน์ จำกัด อย่างไม่มีกำหนด
ถ้านับการเลื่อนที่มาถึงวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘ น่าจะเป็นการเลื่อนครั้งที่ ๓
ว่ากันว่าแม้เบียร์ช้างยังเข้าตลาดไม่ได้ ก็ไม่มีผลกระทบอะไร ยังมีสภาพคล่องสูงรวมทั้งการคืนเงินกู้ ๕๐,๐๐๐ ล้านบาทก็อยู่ในวิสัย ส่วนคนในวงการหุ้นออกปากเสียดายต่อมูลค่าตลาด (มาร์เก็ตแคป) ที่มีถึง ๒-๒.๕ แสนล้านบาท
การที่เบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้นั้น มิได้หมายความว่าจะทำให้เบียร์ช้างหยุดการผลิต ล่มจมถล่มทลาย ดังที่กลุ่มต่อต้านอ้างว่ามาชุมนุมต่อต้านเพื่อยับยั้งอบายมุข อ้างว่าการเคลื่อนไหวของตนเป็นพลังบริสุทธิ์กระทำด้วยความห่วงใยบ้านเมือง นอกจากเบียร์ช้างมิได้หยุดการผลิตเท่านั้น หากเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยไม่ได้ เบียร์ช้างก็สามารถนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้ ซึ่งในแง่นี้สำหรับตลาดหลักทรัพย์และผู้ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ถือได้ว่าเป็นการเสียโอกาส เพราะถ้าเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ การเติบโตของตลาดจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ ๒
การเคลื่อนไหวทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่เป็นการให้ความสำคัญกันเกินไป ต้องกล่าวว่าเริ่มจากพลตรีจำลอง ศรีเมือง ดังได้ส่งจดหมายคัดค้านการรับเบียร์ช้างเข้าตลาดหลักทรัพย์ แก่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ตั้งแต่วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ หลังจากนั้นเครือข่ายต่างๆ ค่อยตามมา รวมทั้งสงฆ์จากธรรมกายที่มาชุมนุมออกเหลืองไสว มีพระจากธรรมกายกล่าวอย่างปลื้มๆ ด้วยซ้ำว่า
"การรวมตัวกันขนาดนี้ ผู้ที่จะทำได้มีเพียงวัดธรรมกายเท่านั้น" (ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๑-๒๓ มีนาคม ๒๕๔๘)
เอาเถิดคฤหัสถ์จะชุมนุมเคลื่อนไหวอย่างไร ก็เรื่องของคฤหัสถ์ จะอ้างเพื่อชาติเพื่อเมืองกันอย่างไร กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนา โดยเฉพาะกรรมของบางคน (เจ้าเก่า) เช่น พลตรีจำลองผู้เคยเคลื่อนไหวเรื่องทำแท้ง พอเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็เงียบสงบไป อาการขณะเป็นผู้ว่าฯ กทม.นั้น ผลงานที่คนเห็นว่าสร้างภาพก็มีอยู่ และต่อพรรคพลังธรรม กระทั่งยุบพรรคและเป็นที่ปรึกษานายกฯ ทักษิณ ครั้นถึงคราวต้องส่งผู้รับสมัครผู้ว่าฯ กทม. ครั้งล่าสุด พลตรีจำลองก็มีปัญหาต่อมติพรรคที่แข็งขืนส่ง ดร.มานะ มหาสุวีระชัย ในนามของตนเอง แล้วก็แพ้นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ปัญหาแรงกดดันตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ นายกฯ ทักษิณจะบอกเพียงว่าเป็นเรื่องต้องพิจารณาคงไม่พอ สำหรับผู้บริหารชาติบ้านเมืองและโดยเฉพาะพรรคไทยรักไทยที่มีพลตรีจำลองเป็นที่ปรึกษานายกฯ ถ้าไม่สามารถจัดการคนคนหนึ่งซึ่งพึงถือว่าเป็นคนภายในออกไปเพ่นพ่านเช่นนี้ไม่ได้ ก็อย่าพูดเรื่องซีอีโออะไรเลย ในทางกลับกันสำหรับพลตรีจำลองนั้น หากยังคำนึงถึงสังกัด ก็ควรมีวินัย มิฉะนั้นก็ควรลาออกเสีย
คฤหัสถ์ก็ว่ากันไป
คราวนี้มาถึงบรรพชิตบ้าง การจัดตั้งของม็อบสงฆ์ถึงจะภูมิใจในการจัดตั้งสำเร็จ แต่ต้องถามว่าเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่
จริงอยู่ พระย่อมให้ศีลแก่ชาวบ้านให้ถือศีลห้า และศีลข้อห้านั้น คือ การงดเว้นสุราและของมึนเมาทั้งปวง จึงอ้างว่าด้วยเหตุนี้มาประท้วงตลาดหลักทรัพย์ที่จะรับเบียร์ช้าง เพราะเกรงว่าเบียร์ช้างสามารถขยายการผลิตมากขึ้นถ้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
เมื่อผู้ทรงศีลคิดดังกล่าวเช่นนั้น จะมัวประท้วงเบียร์ช้างอยู่ไย ประท้วงตัวตลาดหลักทรัพย์เลยสิพระคุณเจ้า นั่นแหละแหล่งอบายมุขสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ การหากำไรจากส่วนต่างของหุ้นภายในไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง จะเรียกว่าเป็นการลงทุนทางธุรกิจ (ตามความหมายที่แท้จริงอย่างไร)
นโยบายและการปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลทักษิณ จากรัฐบาลก่อนต่อเนื่องถึงปัจจุบันในกรณีอบายมุขที่เห็นเด่นชัด เรื่องหวยบนดินแม้จะอ้างว่ามีเงินช่วยนักเรียนยากจน เป็นนักเรียนทุนอบายมุข นี่ทำไมไม่ต่อต้านด้วย
เอาละ ถ้าจะเลือกต่อต้านเพียงน้ำเมา เรื่องอื่นๆ แม้คอรัปชั่นก็ไม่อยากยุ่ง ปัญหาก็มีอยู่ว่าพระคุณเจ้าทราบหรือไม่ว่า หุ้นบางตัวในตลาดหลักทรัพย์ในขณะนี้ แม้จะออกหน้าว่าเป็นหุ้นประกันชีวิต แต่ก็นำเงินไปลงทุนบริษัทเบียร์บางบริษัทด้วย เหตุใดจึงไม่ต่อต้านหรือเลือกต่อต้านเพียงเบียร์ช้าง อันจะกลายเป็นเลือกปฏิบัติ
ความจริงของโลกทุนนิยมที่เป็นโลกาภิวัตน์มีความสลับซับซ้อน การทำหน้าที่พระย่อมมีความลำบากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการมีวัฒนธรรมความเชื่อถือเป็นกรอบ อะไรควรทำ อะไรควรเว้น สมณสารูปมีอย่างไร ภายในวัด พระย่อมสอนศีลธรรมหรือให้ศีลโดยสง่าผ่าเผย เช่นเดียวกันกับสถานที่อันควรที่เขาอาราธนาไป การโปรดสัตว์ด้วยเมตตาธรรมนั้นควรแก่การอนุโมทนา เว้นแต่การทำให้เกิดความขัดแย้ง แม้ศีลนั้นถูก ทว่าก็มีกาลเทศะ การทำให้เขาต้องฝืนนิสัยในทางการประกอบอาชีพ เช่น การพยายามยัดเยียดให้ศีลข้อที่หนึ่ง ปาณาฯ แก่ชาวประมง ก็จะกลายเป็นการห้ามหาปลาจับสัตว์น้ำ เขาจะครองชีพอย่างไร ข้อนี้ เคยมีลิขิตของพระทูลถามสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ท่านทรงกริ้วแก่พระผู้เคร่งครัดที่พยายามไปให้ศีลหรือแสดงธรรมแก่ชาวประมงที่สมุทรสาคร การรู้จักยืดหยุ่นของพระด้วยการคำนึงกาลเทศะเช่นนี้ แม้จะถูกล้อว่า "มือไม่งอเป็นจวักตักน้ำแกงไม่ติด" นั้น บางกรณีก็ต้องทำเหมือนกัน
ปัญหาสำคัญเวลานี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นข่าวแม้จะเป็นพระส่วนน้อยก็ตาม คือ ในทางการปกครองสงฆ์เกิดอธิกรณ์ปลดเจ้าอาวาสก็ดี พระบางรูปเป็นสมีมีสีกากกเพราะมีเงิน กระทั่งสะสมรถเบนซ์ก็ดี ล้วนเป็นปัญหาที่ควรสะสางก่อน สงฆ์ในวัดสะสางวัดนั้นๆ หรือคณะสงฆ์เจ้าคณะสังฆาธิการดูแลสะสางมิให้เกิดปัญหา
ศาสนจักรมิได้แยกตัวต่างหากเสียทีเดียว แต่อยู่ในอาณาจักรที่เป็นโลกทุนนิยม อาการทุนนิยมและบริโภคนิยมก็สะท้อนสู่ศาสนจักรสู่วัด ที่สงฆ์ก็สมาทานไม่ต่างจากศีล เว้นเพียงมากน้อยเบาบางต่างกันในแต่ละรูป
อาการที่น่าวิตกนั้น พระไพศาล วิสาโล กล่าวในงานวิจัยเรื่อง พระพุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต มีความตอนหนึ่งว่า
"พระสงฆ์เป็นอันมากเข้าหาฆราวาสเพื่อหวังเงิน ไม่ว่าในรูปของการบริจาค สร้างโบสถ์วิหาร หรือเงินเช่าซื้อวัตถุมงคล ตลอดจนเงินทำบุญจากการประกอบพิธีกรรม หาไม่ก็อาศัยฆราวาสเพื่อเป็นตัวแทนในการประกอบธุรกิจส่วนตัว รวมทั้งจัดหาสิ่งผิดวินัยไม่ควรแก่สมณสารูป ส่วนฆราวาสจำนวนไม่น้อยก็เข้าหาพระเพื่อหวังโชคลาภ ขอหวยเบอร์ หาไม่ก็มาเสนอขายสินค้า (มีตั้งแต่ขายประกันไปจนถึงขายซีดีลามก ยิ่งกว่านั้นคือขายบริการทางเพศ) หรือเสนอตัวจัดการพุทธพาณิชย์และผลประโยชน์อื่นๆ ภายในวัด ความสัมพันธ์โดยมีผลประโยชน์เป็นสื่อกลางระหว่างพระกับฆราวาส นับวันจะเป็นที่ยอมรับและทำกันโจ๋งครึ่มมากขึ้น จนแม้แต่การเช่าหรือขายสื่อลามกให้พระอย่างเปิดเผย ก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ทั้งหมดนี้ล้วนมีผลบั่นทอนคุณภาพของสงฆ์และฆราวาสให้ด้อยลงในทางธรรม ไม่ว่ามองจากด้านความรู้ความเข้าใจหรือการประพฤติปฏิบัติ เมื่อคุณภาพทางธรรมของพระสงฆ์และฆราวาสต่ำลง ก็ส่งผลให้พุทธศาสนาตกสู่ความเสื่อม แม้ว่าศาสนวัตถุ โบสถ์ วิหารจะดาษดื่นอลังการและใหญ่โตอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยก็ตาม"
ครับ ผู้เขียนเห็นว่าก่อนที่พระจะออกไปเคลื่อนไหวประท้วงอะไรใคร (ความจริงเมื่อสมณะแปลว่าผู้สงบ ถึงออกไปนั่งประท้วงสงบเสงี่ยมก็ไม่งามอยู่ดี) ถ้าเป็นชาวบ้านเรามักบอกว่าให้กวาดบ้านตัวเองก่อน แต่นี่เป็นชาววัด คงต้องบอกว่านิมนต์กวาดวัดพระคุณเจ้าก่อน
พระไพศาลกล่าวในเอกสารที่อ้างถึงแล้วว่า ทางออกของการแก้ปัญหา คือ การเปิดโอกาสให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของวัดมากขึ้น โดยการมีส่วนกำหนดความเป็นไปของวัดให้มีการบริหารวัดในรูปคณะกรรมการ และมีผู้แทนชุมชนเข้าร่วมด้วย ทั้งด้านการศึกษา สาธารณูปการ การเผยแผ่ ไม่ว่าภายในวัดนอกวัด ที่ขาดไม่ได้คือการร่วมรับผิดชอบการเงินของวัด
ตอนนี้มีงานวิจัยซ้อนวิจัย คือ ท่านอ้างถึงงานเขียนในพุทธศาสน์ศึกษา (ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๔๐) ที่เรืองฤทธิ์ ประสันรักษ์ เสนอเรื่อง "รายรับรายจ่ายของวัดในกรุงเทพมหานคร" พบว่าแทบทุกวัดในประเทศมีจุดอ่อน มักจะไม่เปิดเผยบัญชีหรือข้อมูลการเงินของวัด เฉพาะกรุงเทพฯ เมื่อนักวิจัยถามถึงรายได้รายจ่ายของวัดต่างๆ จากการให้เช่าวัตถุมงคล ให้เช่าที่ทำตลาดหาบเร่-แผงลอย ตลอดจนรายจ่ายด้านต่างๆ ปรากฏว่าวัดส่วนใหญ่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว
"ความไม่โปร่งใสนั้นมักเป็นที่มาแห่งความทุจริตและประพฤติมิชอบ...ด้วยเหตุนี้ หน้าที่ประการหนึ่งของคณะกรรมการบริหารวัด คือ การทำให้การเงินการบัญชีของวัดมีความโปร่งใส คือ โปร่งใสและตรวจสอบได้...จะเป็นการดีไม่น้อย หากวัดซึ่งควรเป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรมของสังคม มีความโปร่งใสด้วยเช่นกัน" พระไพศาลได้กล่าวอีกว่า "นี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนำบัญชีของเจ้าอาวาสมาแสดงต่อสาธารณะ แต่อย่างน้อยควรมีการแยกแยะบัญชีของเจ้าอาวาสและของวัดให้ชัดเจน"
บอกแล้วว่าโลกทุนนิยมปรากฏอาการของมันทุกหนแห่ง ไม่เว้นแต่ในวัดที่ยังต้องการให้มีการจัดการที่เหมาะสม ส่วนนอกวัดก็ต้องการศีลธรรมคุณธรรม หากพอเหมาะแก่ความจริงชนิดทางใครก็ทางใคร นั่นแหละพระเดชพระคุณ..