ชี้หลอกล่อพ่อคูณนอนวัดจนสมหวังเทศน์ 'รวมพรรค'
ไทยโพสต์ การเมือง - ข่าว
๙ สิงหาคม ๒๕๔๗ กองบรรณาธิการ
ขาประจำผุดเป็นดอกเห็ดตั้ง "ชมรมคนรู้ทัน" วิพากษ์ "พระกิตติศักดิ์" ชี้เข้าใกล้ยุคอัตตาธิปไตยไม่มีใครใหญ่เกินทักษิณ เตือนอ้างคำพระผิดๆ ถูกๆ หาก "พุทธทาส" ยังอยู่อาจโดนไม้เคาะหัวแล้วด่าไอ้ชาติโง่ เหน็บ "หลวงพ่อคูณ" รู้ไม่ทันถูกหลอกใช้ยุบรวมพรรค อ.จุฬาฯ สุดอนาถนายกฯ สร้างสังคม "ขี้ขอรอทาน" อดีตเอกอัครราชทูตชำแหละการทูตอ่อนหัด-ไม่โปร่งใส ผูกสัมพันธ์ต่างประเทศเพื่อต่อรองธุรกิจ
ที่โรงแรมดิ เอมเมอรัลด์ วันที่ ๘ สิงหาคม "ชมรมคนรู้ทัน" ได้จัดเสวนาหัวข้อ "รู้ทันวันนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงวันพรุ่งนี้" โดยเชิญนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กรุงเทพมหานคร บรรณาธิการหนังสือ "รู้ทันทักษิณ" ทั้ง ๒ เล่ม มาเป็นพิธีกร พร้อมด้วยผู้เขียนบทความในหนังสือคือ นายอมรวิชช์ นาครทรรพ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอัษฎา ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม นายทรงยศ แววหงส์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมอภิปราย
โดยมีผู้ซื้อบัตรเข้าร่วมงานประมาณ ๕๐๐ คน รวมถึงแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรค นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรค และนักเคลื่อนไหวภาคทางสังคม เช่น นายพิภพ ธงไชย ที่ปรึกษาคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ กลุ่มญาติวีรชนพฤษภา ๓๕ ทั้งนี้ผู้ซื้อบัตรจะได้รับหนังสือรู้ทันทักษิณ เล่ม ๒ ด้วย
พล.ท.เจริญศักดิ์ เที่ยงธรรม ประธานชมรมคนรู้ทัน กล่าวเปิดงานว่า เวลานี้เราวิตกกังวลในสภาพปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองจากการบริหารงานของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ยังตกอยู่ในความเคลือบแคลงเรื่องผลประโยชน์และเรื่องพวกพ้อง เวลานี้ประชาชนจึงอ่อนแอและเสื่อมถอย ประชาชนทุกหมู่เหล่าจึงควรหันหน้าร่วมมือกัน การแยกคิด แยกกันทำเป็นเรื่องดี แต่ก็กระจัดกระจายไม่เป็นเอกภาพพอที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้
นายเจิมศักดิ์กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่มีชมรมนี้เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหนังสือของตนหรือเปล่าที่ทำให้เกิดชมรมนี้ แต่ก็ดีถือเป็นการโฆษณาหนังสือ ซึ่งในวันนี้จะได้นำนักเขียนในหนังสือมาพูดคุยโดยขอตั้งประเด็นกว้างๆ ว่าทำไมเราต้องรู้ทัน ถ้ารู้ไม่ทันแล้วจะเกิดอะไร และเมื่อรู้ทันแล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไป
จากนั้น พระกิตติศักดิ์กล่าวถึงการที่นายกฯ ห้ามพระพูดเรื่องการเมืองว่า วันนี้จะมาหรือไม่มาก็ไม่ต่างกัน เพราะตนจำวัดอยู่ที่เชียงใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ให้เจ้าหน้าที่ไปที่วัดบ่อยๆ การจะมาหรือไม่ก็เหมือนกัน เพราะให้คนไปถามว่าพ่อแม่เป็นใคร เรียนหนังสือที่ไหน ทำงานอะไรมาบ้าง "เวลานี้ถือว่าเข้าใกล้อัตตาธิปไตย คือการถือบุคคลเป็นใหญ่เข้าไปทุกที เมื่อบวกกับธนาธิปไตย ก็จะกลายเป็นทักษิณาธิปไตย เป็นวงศ์วานว่านเครือที่ไม่มีใครใหญ่เกินท่านอีกแล้ว"
ประธานกลุ่มเสขิยธรรมกล่าวว่า ความรู้เท่าทันถือเป็นพื้นฐานของชาวพุทธ เพราะพุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ต้องรู้เท่าทันกิเลส ความโลภ ความหลง ต้องรู้เท่าทันข้อมูลข่าวสาร ต้องรู้ว่าการมอบอำนาจอธิปไตยเพื่อให้คนอื่นทำแทนนั้นเป็นไปเพื่ออะไร การมุ่งมั่นเอาชนะในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน มันถึงขั้นสั่นคลอนจริยธรรมของเราขนาดนี้เชียวหรือ
"เราต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเรา และเกิดขึ้นกับพระศาสนา ถ้าเราไม่รู้เลยก็ต้องรับนิมนต์ให้ไปรวมพรรค การไปนอนกับพระที่วัดก็คงได้ผลเพราะท่านยอมขึ้นธรรมาสน์เทศน์ให้รวมพรรคเถิด ทั้งที่ตอนแรกเพิ่งท้าทายให้ถอดจีวรอยู่หยกๆ ก็ถือว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่น่ารัก แต่กลับทำให้กลายเป็นผู้ตัดสินปัญหา ต่อไปหากเกิดอะไรก็ต้องบอกว่าท่านสั่ง มีข่าวแว่วๆ มาว่าท่านจะได้เลื่อนสมณศักดิ์เร็วๆ นี้" พระกิตติศักดิ์กล่าว ซึ่งนายเจิมศักดิ์ก็ได้ถามว่าหมายถึงหลวงพ่อคูณใช่หรือไม่ พระกิตติศักดิ์กล่าวว่า "เจริญพร"
พระกิตติศักดิ์กล่าวต่อว่า เวลานี้กำลังกระตุ้นให้คนมีความปรารถนา เพื่อเติมเต็มด้วยวัตถุ เมื่อรัฐทำสิ่งอย่างนี้เสียเองจะทำให้คนที่ไม่รู้เท่าทันตกเป็นเบี้ยล่าง ต้องเผชิญชะตากรรม พุทธพจน์บทหนึ่งบอกไว้ว่า การเป็นหนี้คือทุกข์ เราต้องแยกให้ออกระหว่างการเป็นหนี้กับการลงทุน การเป็นหนี้เพื่อสร้างผลผลิตก็เป็นทุกข์ แต่การเป็นหนี้โดยไม่ผลิตอะไรเลยก็ยิ่งเป็นทุกข์ยิ่งกว่า เวลานี้เราต้องรู้เท่าทันความหลงที่ยุคข้อมูลข่าวสารไปถึงผู้บริโภคกว้างขวาง แต่ความจริงมันหายไปไหน ความจริงที่ต้องตอบสังคมอย่าง "กรือเซะ" หน้าโรงแรมเจบีหาดใหญ่ หรืออุ้มนายสมชาย ลีนะไพจิตร มันหายไปไหนไม่มีใครบอกความจริง
"ที่ผ่านมาคนดีไม่มีเสื่อมของรัฐบาลนี้ไม่เคยออกมาพูดอะไรเลยเมื่อจะมีหวยบนดิน คนดีไม่มีเสื่อมไม่พูดอะไรเลยตอนที่คิดจะซื้อทีมฟุตบอล เมื่อเกิดเรื่องที่กรือเซะคนดีไปอยู่ที่ไหน คนดีไม่มีเสื่อมไม่เคยออกมาคัดค้านเรื่องพวกนี้เลย ขนาดคนดีของรัฐบาลยังเป็นขนาดนี้ คนไม่ดีก็ไม่ต้องพูดถึงกันเลย" พระกิตติศักดิ์กล่าวถึง ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รองนายกฯ เจ้าของผลงานหนังสือ "คนดีไม่มีเสื่อม"
ประธานกลุ่มเสขิยธรรมกล่าวว่า หากเปรียบประเทศเหมือนคอมพิวเตอร์ คุณธรรมคือระบบปฏิบัติการกลาง ถ้าระบบนี้เสื่อมคอมพิวเตอร์ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าหากเราปล่อยให้ธรรมนองคลองธรรมสั่นคลอน มิใช่สั่นคลอนประเทศเท่านั้น แต่ยังสั่นคลอนพุทธศาสนาแบบเถรวาทที่สืบต่อกันมากว่า 2 พันปี ตนจะไม่ยอมให้ตระกูลใดมาทำเรื่องเช่นนี้อย่างเด็ดขาด นายเจิมศักดิ์ถามว่านายกฯ อ้างว่ารู้ศาสนา อ้างคำพูดพุทธทาสเป็นประจำ พระกิตติศักดิ์กล่าวว่า เป็นการสร้างภาพเหมือนครีมที่แต่งหน้าเค้ก เนื้อเค้กยังไม่ดี แล้วยังเอาครีมไม่ดีไปโปะแล้วมันจะดีได้อย่างไร
"การอ้างยังอ้างผิด ถ้าท่านพุทธทาสยังอยู่ดีไม่ดีจะโดนไม้เท้าเคาะหัว แล้วบอกว่า "ไอ้ชาติโง่" เพราะท่านพูดเสมอว่า ไม่ทำอย่างที่สอนอย่ามาอ้อนเรียกอาจารย์ ก็เหมือนกับโทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนกรอบได้ เอามือถือมาใส่กรอบรูปท่านพุทธทาสก็อาจดูดีขึ้นได้บ้าง" ประธานกลุ่มเสขิยธรรมกล่าว และว่า เวลานี้เราต้องลุกขึ้นมาตั้งคำถามให้รู้เท่าทัน และเผื่อแผ่กระจายออกไปในวงกว้างจะเป็นกุศล ไม่เช่นนั้นจะถูกวิธีเร่งเร้าอย่างโฆษณากลบเรื่อง ต้องถามว่าข้อสอบเอนทรานซ์รั่ว เรื่องฆ่านายเจริญ วัดอักษร ทนายสมชาย ไปถึงไหนแล้ว เพราะถ้าเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็ตัดต่อเร็วมากเพื่อกลบเรื่องทั้งหมด
ด้านนายอมรวิชช์กล่าวว่า นายกฯ กำลังเป็นแหล่งเรียนรู้สำคัญของเด็ก ทั้งวิธีคิด วิธีพูดกำลังเป็นเป้าหลอมที่สำคัญให้กับเด็ก แต่ปัญหาก็คือเวลานี้คำตอบอยู่ที่คนคนเดียว ใช้ "บัญชา" นำ "ปัญญา" เอาอำนาจเป็นตัวตั้ง จึงทำให้เด็กๆ สับสนว่าเรากำลังไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ได้อย่างไรถ้าต้องคอยฟังบัญชา ดังนั้นเราต้องรู้ทันเพื่อมิให้ในอนาคตจะต้องบาดเจ็บอีกครั้ง ตนอยากให้สิ่งที่รู้ทันในวันนี้เป็นสิ่งที่ผิด เพราะกลัวว่ามันจะถูกขึ้นมา
นายอมรวิชช์กล่าวว่า ประเด็นที่รู้ทันคือ ในเรื่องการศึกษารัฐบาลนี้สร้างโอกาสเยอะมาก กระหน่ำโอกาสมาสู่เด็กๆ มีทุนจากหวย จากอะไรมากมาย การเรียนในระดับอุดมศึกษากระจายตัวอย่างมาก ดังนั้นใน ๔-๕ ปีข้างหน้าจะมีคนจบปริญญาตรีเยอะมาก แต่จะหาคนดีๆ ทำยาได้ยากเหมือนกัน เพราะการสร้างโอกาสกับการสร้างคนเป็นเรื่องที่ต่างกัน เวลานี้เราให้แต่การสร้างโอกาส แต่ไม่ให้การสร้างคน จึงทำให้รู้ทันว่าการให้โอกาสเวลานี้มันกลวง ไม่มีคุณภาพ
"รัฐบาลนี้ค่อนข้างนอกกรอบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกในยุคปฏิรูป แต่ต้องนอกกรอบแต่อยู่ในธรรม ที่ผ่านมาการปฏิรูปการศึกษาไม่เดินหน้าเลย ทั้งที่อุตสาห์ทำกันมา แต่ถูกรื้อกลับไปเป็นอย่างเดิมหมด เวลานี้ที่เด็กกำลังเรียนรู้จากรัฐบาลก็คือ เมื่อคุณมีอำนาจ มีเงิน จะทำอะไรก็ได้ ทำอะไรเสี่ยงๆ ไว้หน่อยก็ดี สังคมจึงกลายเป็นสังคมท้าทายและก้าวร้าว และเด็กกำลังเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ที่จะรวยลัดแบบนักพนัน เด็กจะมองเป็น ๒ แบบ คือชีวิตต้องกล้า ต้องเสี่ยง เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องเฮง และอีกแบบหนึ่งคือแบบ "ขี้ขอรอทาน" รอให้รัฐบาลช่วยเคลียร์ปัญหาให้" อาจารย์คณะครุศาสตร์ ม.จุฬาฯ กล่าว
นายอัษฎา ชัยนาม กล่าวว่า เวลานี้เราต้องรู้ให้เท่าทันการทูตหลายๆ อย่าง ว่าการต่างประเทศของเราเวลานี้ไม่โปร่งใส ไปทำอะไรที่ต่างประเทศเราไม่รู้เลย สมัยก่อนจะมีการแถลง ชี้แจง แต่เวลานี้ที่แถลงชี้แจงมีแต่เรื่องที่ไม่เป็นสาระ เช่น เมื่อไปเยือนสหรัฐครั้งแรก ตนขอเอกสารจากกรมสารนิเทศไม่ได้เลย ต้องไปขอจากไวท์เฮาส์ ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ขอเรื่องข้อตกลงทางศาลอาญาระหว่างประเทศก็ไม่มีการจัดส่งไปให้ ทั้งที่เอกสารไม่ได้มีการตีตราลับ บางเรื่องอย่างเอเชียบอนด์ เขียนอย่างสวยหรู แต่เมื่อคุยกับผู้รู้จริง เขาบอกว่ายากมาก ซึ่งก็ขอเอาใจช่วย ถ้าทำได้สำเร็จก็จะเป็นประโยชน์กับภูมิภาค
อดีตเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังใช้วิธีการทูตแบบส่วนตัว พยายามใช้แต่คนที่ไว้ใจได้ กันคนอื่นไม่ให้เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ข้าราชการประจำ ทำให้การทูตอ่อนหัดอย่างน่าเหลือเชื่อ ทำเรื่องอย่างที่ซี ๓ ซี ๔ ไม่เคยทำ เพราะคิดแบบจากบนลงล่าง ไม่ถามข้าราชการประจำ จะถามบ้างก็พอสอพลอ ทำให้กระทบกระเทือนภาพพจน์ของประเทศ การเป็น รมต.ต่างประเทศ เป็นเรื่องยาก ซึ่งนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รมว.ต่างประเทศ ก็เริ่มรู้ จึงใช้วิธีบลัฟกลับทุกวัน และยังใช้วิธีการพูดแบบเร็วๆ เน้นประชาสัมพันธ์ว่าทุกอย่างสำเร็จหมด ทำให้กลบความสำเร็จแบบครึ่งเดียวโดยใช้วิธีแบบน่าเกลียด เช่น จะสัมภาษณ์ออกทีวีก็จะเอาที่ปรึกษาคือนายสรจักร เกษมสุวรรณ มาสัมภาษณ์ตัวเอง มาซูเอี๋ยกัน วิธีการเช่นนี้รัฐบาลเก่งจริงๆ ต้องยอมรับ
"รัฐบาลยังพยายามสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเล็กๆ ในแถบเอเชีย ตอนแรกคิดว่าจะใช้เป็นฐานต่อรองระหว่างประเทศ แต่ตอนนี้ชัดเจนว่าใช้เป็นฐานทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโทรคมนาคมหรือก่อสร้าง ส่วนการส่งทหารไทยไปอิรัก ที่อ้างว่าเป็นไปตามมติสหประชาชาติ ทำให้อยากโต้วาทีกับ รมต.ต่างประเทศแบบสดๆ ว่าการอ้างเช่นนั้นเป็นการอ้างภายหลังจากที่ถูก ส.ว.โจมตีอย่างหนัก ทั้งที่ตอนตัดสินใจส่งไปนั้นเป็นไปตามที่สหรัฐขอร้อง แล้วมาอ้างภายหลังถูกโจมตีว่าสหประชาชาติขอร้อง ซึ่งก็ไม่ได้มีการแจ้งกลับไปที่สหประชาชาติว่าเป็นเพราะมติของสหประชาชาติเราจึงส่งไป ที่ส่งไปก็เพียงเพราะต้องการงานก่อสร้างและงานบริการในอิรัก ซึ่งก็เป็นโชคดีของประเทศเราที่ไม่ได้ เพราะไม่เช่นนั้นเราอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว ถ้าจะได้ก็หลังประเทศสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เพราะเขาสนับสนุนสหรัฐอย่างเปิดเผยแต่แรก ไม่เหมือนไทยที่สนับสนุนแบบอีแอบ" อดีตเอกอัครราชทูตกล่าว
นายอัษฎากล่าวอีกว่า ในประวัติศาสตร์กระทรวงการต่างประเทศไม่เคยมีการย้ายข้าราชการกันเละขนาดนี้มาก่อน บางคนเป็นทูตประเทศหนึ่งไม่ถึงปีก็ถูกย้ายแล้ว เพราะเขาไม่อยากให้ข้าราชการประจำรู้งาน เพราะถ้าอยู่นานก็จะไปสอนเจ้ากระทรวง จึงใช้วิธีแบ่งแยกและปกครองย้ายมากจนไม่มีใครรู้เรื่อง น้องชายของตนภายใต้รัฐบาลนี้ยังไม่ครบ ๔ ปี แต่ก็ถูกย้ายถึง ๔ ครั้ง ขอพูดเหตุผลในที่นี้เพราะอยากให้มีการชี้แจงกลับว่า เหตุที่ย้ายเพราะ ๑.ไม่สนองนโยบาย ซึ่งไม่รู้หมายถึงอะไร ๒.ไม่ไปรับนายกฯ ตอนไปบราซิล ซึ่งทราบว่าน้องชายตนลาราชการตอนนั้น ๓.เพราะพี่ชายตำหนิ รมต.ต่างประเทศ ซึ่งอยากให้เขาตอบมาให้ชัดเป็นทางการ
"เวลานี้ข้าราชการต่างประเทศต้องกล้าแย้งในคำสั่งที่ผิดถ้าเห็นประโยชน์ประเทศชาติ ต้องกล้าแย้งเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้เขาตอบกลับมาว่าตัดสินใจอย่างไร อย่าไปกลัว เพราะทำให้ได้อย่างมากก็แค่ย้ายเท่านั้น" นายอัษฎากล่าว
นายทรงยศ แววหงส์ กล่าวว่า เวลานี้ตนตกอยู่ในความรู้สึกอึดอัด สิทธิในการแสดงออก ในการพูดมันหายไปไหน เราอยู่ในช่วงสำคัญของประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเห็นรัฐบาลพลเรือนที่ไหนเข้มแข็งขนาดนี้ สิทธิเสรีภาพของเราหายไป และอาจจะเป็นอย่างนี้ต่อไปภายหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ตอนนี้มีชมรมคนรู้ทันแล้วไม่รู้ว่าจะมีอะไรต่อไป อาจจะมีชมรมคนอึดอัดแบบตนก็ได้
พระกิตติศักดิ์กล่าวปิดการเสวนาว่า เวลานี้เมื่อเรารู้ทันทักษิณแล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้าขออย่าได้สนับสนุนหรือส่งเสริมสิ่งที่เป็นอกุศลอีกต่อไป หากพูดในระบบประชาธิปไตยก็จะพูดได้ว่า หากเห็นว่าคุณทักษิณมีปัญหาก็ขออย่าได้เลือกพรรคไทยรักไทย ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมสัมมนา..
|