ติดเบรกพระเทศน์รัฐบาล
ขึ้นบัญชี ๔ พระดัง ออกอากาศวิทยุ
คม - ชัด - ลึก
วันเสาร์ที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗
พระนักเทศน์โวยโดนฝ่ายบ้านเมืองขีดเส้นให้เทศน์เฉพาะเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง เผยเหตุจาก "หลวงป๋า" วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม เทศน์เรื่อง "ธรรมาภิบาล" แทงใจดำผู้มีอำนาจ สั่งให้กรมประชาสัมพันธ์คุมเข้ม ตั้งคณะกรรมการนิมนต์พระและตรวจสอบเทปก่อนออกอากาศ ด้านพระมหาโชว์แฉหน่วยข่าวตรวจสอบพระที่เทศน์แทงใจดำ เผยตัวเองก็โดนสถานีวิทยุทหารเบรก เพียงแค่เอาข้อเรียกร้องของเจ้าคณะจังหวัดยะลา เรื่องปัญหาภาคใต้มาอ่านออกอากาศ ด้านกรมประชาสัมพันธ์แจง น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด
เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พระผู้ใหญ่เชื่อว่า พระสงฆ์กำลังถูกปิดกั้นเรื่องการเทศนาจากฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง หลังจากที่พระภาวนาวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ไปเทศน์ออกอากาศในรายการ "ปาฐกถาธรรม" ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อเวลา ๘.๐๐ น. วันอาทิตย์ที่ ๒๐ มิ.ย.
หัวข้อที่พระภาวนาวิสุทธิคุณ ได้ปาฐกถาในวันนั้น เป็นเรื่อง "ธรรมาภิบาล" มีเนื้อหาโดยสรุป กล่าวถึงหลักธรรมาภิบาลว่า เป็นหลักธรรมที่ใช้ประกอบการปฏิบัติงานแบบบูรณาการของฝ่ายบริหาร หรือซีอีโอ ให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายด้วยดี มีประสิทธิภาพสูง
พระภาวนาวิสุทธิคุณ กล่าวในการปาฐกถาธรรมครั้งนั้นว่า หลักธรรมาภิบาลใช้ในทุกระดับ ทั้งองค์กรทางศาสนาและทางสังคม รวมทั้งองค์กรรัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจเอกชนที่มุ่งกำไร ก็ต้องมุ่งหลักเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายปฏิบัติการ และประชาชน เพราะถ้าองค์กรนั้นขาดทุนหนัก นายทุนก็ไม่อยากลงทุน พนักงานก็เดือดร้อน แต่ถ้าเอาเปรียบพนักงานหรือประชาชนมากเกินไป ย่อมถูกคัดค้าน ประณามจากสังคม
พระภาวนาวิสุทธิคุณ ยังระบุด้วยว่า ฝ่ายรัฐบาลก็เช่นกัน ถ้ารัฐบาลใดบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพต่ำ คือมีประสิทธิผลอันเป็นธรรมแก่ประชาชนน้อย กล่าวคือ ไม่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้เกิดประโยชน์และความสันติสุขแก่ประชาชนโดยส่วนรวม ให้สมค่าการลงทุน คืองบประมาณ ทรัพยากรต่างๆ กำลังคน และเวลาที่ใช้ในการบริหารราชการไปมากแล้ว แต่กลับไปอำนวยประโยชน์สุข แต่เฉพาะบุคคลหรือคณะบุคคลผู้เป็นญาติมิตรหรือพรรคพวกของตน ประชาชนส่วนใหญ่หรือโดยส่วนรวม ที่ไม่ได้รับประโยชน์สันติสุขอันเป็นธรรม ย่อมผิดหวัง ท้อแท้ และย่อมไม่เลือกพรรคการเมืองที่จัดตั้งรัฐบาลนั้นให้เข้ามาทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาลต่อไป
นอกจากนี้ พระภาวนาวิสุทธิคุณ ได้ตั้งคำถามว่า รัฐบาลและหัวหน้าฝ่ายบริหาร หรือซีอีโอแบบบูรณาการทุกระดับ ได้ดำเนินการบริหาราชการแผ่นดิน เพื่อประโยชน์และความสันติสุขแก่ประชาชนโดยส่วนรวมหรือส่วนใหญ่ มาถูกทางหรือหลักธรรมาภิบาลหรือไม่เพียงไร ทั้งนี้พระภาวนาวิสุทธิคุณ ได้หยิบยกปัญหาในข้อแรกว่า รัฐบาลควรสนับสุนให้มี หรือว่าไม่ควรสนับสนุนให้มีแหล่งการพนันในประเทศของเราหรือไม่ เพียงไร นอกจากนี้ยังได้หยิบยกเหตุผลและหลักธรรมมาประกอบให้เห็นว่า การพนันมีโทษอย่างไร
อีกประเด็นหนึ่งที่พระภาวนาวิสุทธิคุณหยิบยกขึ้นมาปาฐกถาคือ เรื่องรัฐบาลควรสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนให้มีการผลิตหรือจำหน่ายสิ่งเสพติด ประเภทบุหรี่ ยาสูบ เบียร์ ไวน์หรือไม่ เพียงไร พร้อมทั้งระบุด้วยว่า เมื่อเป็นรัฐบาลซีอีโอที่เชิดชูนโยบาย ความรู้คู่คุณธรรม และที่กำลังปฏิรูประบบราชการให้เป็นแบบบูรณาการ ให้ได้ผลดี มีประสิทธิภาพสูง ตามหลักธรรมาภิบาลอยู่แล้ว ควรจะเห็นโทษของสิ่งเสพติด ประเภทยาสูบ สุรา ไวน์ และเบียร์ โดยความเป็นโทษตามที่เป็นจริงอีกด้วย ถึงแม้จะมีรายได้จากการผลิตและจำหน่ายสิ่งเสพติดเหล่านี้ เมื่อพิจารณาแล้วผลได้คุ้มเสียไหม
หลังจากนั้นก็มีรายงานข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ผู้ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในรัฐบาล ได้โทรศัพท์ถึงผู้อำนวยการสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย เพื่อให้ตรวจสอบและตั้งคณะกรรมการควบคุมดูแลการออกอากาศรายการปาฐกถาธรรมของพระนักเทศน์ ทางสถานีวิทยุแห่งประเทศไทย ทางคลื่นความถี่เอฟเอ็ม ๙๒.๕ เอเอ็ม ๘๙๑ และเอเอ็ม ๘๑๙ ซึ่งออกอากาศทุกวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา ๐๘.๐๐-๐๘.๓๐ น. โดยระบุว่า ห้ามพระแสดงปาฐกถาธรรม ที่เนื้อหาเกี่ยวข้องและเกี่ยวพันกับการบริหารประเทศของรัฐบาล
รายงานข่าว ระบุด้วยว่า ผู้ใหญ่ในรัฐบาลรายนี้ได้ฟังปาฐกถาธรรม ที่ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ มิ.ย. ด้วยตนเอง และรู้สึกไม่พอใจกับการปาฐกถาธรรมดังกล่าว ถึงกับให้คนสนิทโทรศัพท์ไปสอบถามเรื่องนี้กับผู้รับผิดชอบทันที
หลังจากนั้นมีคำสั่งเป็นวาจาที่ไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรแน่ชัด โดยระบุว่า เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาอีก ทางผู้บริหารกรมประชาสัมพันธ์ อาทิ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ รองอธิบดี ผอ.สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่บริหารทุกฝ่ายทันที ผลสรุปออกมาว่า จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ๑ ชุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบข้อความการแสดงธรรมของพระนักเทศน์ โดยต้องให้มีการส่งเป็นเทปต้นฉบับมาตรวจสอบก่อนออกอากาศทุกครั้ง
คณะกรรมการควบคุมดูแลที่ตั้งขึ้นมานี้ จะมีหน้าที่กำหนดประเด็นให้พระเทศน์ สรรหาพระนักเทศน์ โดยจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่นิมนต์พระที่เทศน์เชิงวิจารณ์เหตุบ้านการเมือง ซึ่งมีอยู่ ๔ รูปคือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เจ้าอาวาสชลประทานฯ พระพิพิธธรรมสุนทร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสุทัศน์เทพวราราม พระภาวนาวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี และหลวงพ่อพุทธอิสระ วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม
ส่วนพระที่จะมาเทศน์นั้น ต้องเขียนบทมาล่วงหน้าก่อน และเมื่อเทศน์แล้วจะต้องนำเทปมาฟังเพื่อตรวจสอบว่า มีข้อความนอกเหนือจากที่เขียนมาหรือไม่ ที่สำคัญคือให้ระวังการเทศน์โดยยกตัวอย่างการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งชี้แนะ เตือนสติรัฐบาล รวมทั้งจะห้ามพระแสดงปาฐกถาสดๆ แบบปากเปล่า
แหล่งข่าว ระบุด้วยว่า มีพระ ๒ รูป จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือ หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ และพระภาวนาวิสุทธิคุณ ซึ่งทั้ง ๒ รูปนี้ ไม่เคยเขียนต้นฉบับก่อนเทศน์เลยสักครั้งเดียว
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้การนิมนต์พระมาแสดงปาฐกถาธรรม จะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เพียงคนเดียว โดยไม่มีการกำหนดประเด็น ไม่ต้องเขียนต้นฉบับ พระสงฆ์ที่รับนิมนต์ สามารถบันทึกเทปที่วัด จากนั้นก็ส่งม้วนเทปมายังสถานีเพื่อออกอากาศ ซึ่งพระแต่ละรูปก็จะเทศน์ตามแนวทางที่ตนเองถนัด บางรูปก็จะหยิบยกเหตุการณ์ทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจมาเป็นหัวข้อเทศน์ โดยให้เกี่ยวข้องกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้า และเมื่อถึงวันสำคัญทางศาสนา วันสำคัญของประเทศ รวมทั้งเทศกาลต่างๆ พระที่ได้รับนิมนต์ ก็จะหยิบยกเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกันมาเทศน์
ขณะที่ พระมหาโชว์ ทัสสนีโย ผู้อำนวยการส่วนธรรมนิเทศ ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการวุฒิสภา กรรมการกิตติมศักดิ์พุทธศาสนิกสงเคราะห์กัมพูชา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๙ ก.ค.ที่ผ่านมา ช่วงที่พระภาวนาวิสุทธิคุณ มาติดต่อกิจธุระของสงฆ์ที่มหาจุฬาฯ ช่วงนั้นมีโทรศัพท์เข้ามาที่โทรศพท์มือถือของตน โดยผู้ที่ติดต่อมาอ้างตัวว่า เป็นเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของ สมช. (สภาความมั่นคงแห่งชาติ) และสำนักนายกรัฐมนตรี
"เขาถามว่า พระภาวนาวิสุทธิคุณเป็นใคร มาจากไหน นอกจากเทศน์ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยแล้ว เทศน์ที่ไหนอีกบ้าง อาตมาเห็นท่าน (พระภาวนาวิสุทธิคุณ) อยู่ที่นั่นด้วย ก็เลยยื่นโทรศัพท์ให้เขาสอบถามกันเอง ส่วนจะสอบถามอะไรกันบ้าง อาตมาไม่ทราบ เพราะไม่ได้ร่วมคุยด้วย" พระมหาโชว์ กล่าว
พระมหาโชว์ กล่าวอีกว่า ตนเองก็เจอเรื่องทำนองนี้เหมือนกัน กล่าวคือ รายการ "มรดกธรรม" ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุกองพลทหารม้าที่ ๒ คลื่นเอฟเอ็ม ๙๖.๓ เวลา ๒๓.๐๐-๒๔.๐๐ น. วันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งตนเองเป็นผู้ดำเนินรายการ ได้อ่านข้อเรียกร้องที่เจ้าคณะจังหวัดยะลายื่นต่อนายกรัฐมนตรี ให้แก้ปัญหาในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะ ๑๒ ข้อ หลังจากนั้นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากหน่วยงานนั้น ก็มาเตือนไม่ให้นำเสนอเนื้อหาทำนองนั้นอีก
"ปัญหานี้อาตมาคงต้องมีการหารือกับ ดร.วิษณุ เครืองาม ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรกันแน่ ความเห็นหรือการวิจารณ์ของพระนักเทศน์ จริงๆ อาตมาก็ไม่เห็นว่า มันจะหนักหน่วงตรงไหน ดีด้วยซ้ำไปว่าการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลในเชิงคุณธรรม ก็จะทำให้รัฐบาลได้มองเห็นข้อผิดพลาดที่ผ่านมา สิ่งใดก็ตามที่มีการวิจารณ์น่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะอย่างน้อยก็เป็นมุมมองให้การทำงานหรือการบริหารงานของรัฐบาลอยู่ในกรอบ โปร่งใสมากยิ่งขึ้น" พระมหาโชว์ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ผู้หนึ่ง ซึ่งปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อ อธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ในช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.ของปีนี้ เป็นช่วงพิเศษของรายการ "ปาฐกถาธรรม" ซึ่งอยู่ในโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๗๒ พรรษา โดยในช่วงนี้จะเน้นให้พระที่นิมนต์มาแสดงปาฐกถาธรรม เทศน์เรื่องที่เกี่ยวกับการเฉลิมพระเกียรติ
เจ้าหน้าที่ผู้นี้ ยอมรับว่า มีการกำหนดหัวข้อให้พระที่รับนิมนต์ให้มาเทศน์ แต่เป็นการกำหนดกว้างๆ เพื่อให้เป็นไปตามโครงการปาฐกถาธรรมเฉลิมพระเกียรติเท่านั้น
ส่วนเรื่องการตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณานิมนต์พระมาแสดงปาฐกถานั้น เพื่อให้ได้พระที่หลากหลาย ครอบคลุมจากทุกพื้นที่ และความถนัดในการเทศน์ เนื่องจากมีพระสงฆ์จำนวนมากแสดงความจำนง อยากจะมาเทศนาในรายการนี้ นอกจากนี้บรรดาศิษยานุศิษย์ของพระชื่อดัง ต่างก็นำเสนออาจารย์ของตนให้ได้มาเทศน์ออกอากาศ
สำหรับคณะกรรมการชุดนี้ ประกอบไปด้วย ฝ่ายบริหารต่างๆ ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยมีอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และข้าราชการจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษา
ส่วนเรื่องที่เข้าใจกันว่า รายการนี้กำหนดให้พระที่มาแสดงปาฐกถาธรรม ต้องมีสคริปต์และต้องส่งบทที่จะเทศน์ก่อนออกอากาศนั้น ไม่เป็นความจริง
"การที่ขอบทที่จะมาเทศน์ออกอากาศ ก็เพื่อที่จะเอาไปจัดพิมพ์เป็นเอกสารแจกแก่ผู้ที่สนใจขอมา ถ้าไม่มีบทเราก็ต้องถอดออกมาจากเทป มีบทมันทำให้ทำงานง่ายขึ้นเท่านั้น อย่างพระภาวนาวิสุทธิคุณและอีกหลายรูป ท่านเตรียมบทมาก่อนที่จะอัดเทปออกอากาศอยู่แล้ว พระสงฆ์รูปอื่นๆ ถ้าไม่มีบทก็ไม่เป็นไร" เจ้าหน้าที่รายนี้ กล่าวพร้มทั้งระบุด้วยว่า "เข้าใจผิดกันไปยกใหญ่แล้ว"
ด้าน พระภาวนาวิสุทธิคุณ หรือ "หลวงป๋า" กล่าวกับผู้สื่อข่าว "คม ชัด ลึก" ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยผู้สื่อข่าวถามว่า ท่านรู้หรือเปล่าว่าปาฐกถาธรรมเรื่อง "ธรรมมาภิบาล" ที่แสดงออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ไปแทงใจดำใครบางคน พระภาวนาวิสุทธิคุณ กล่าวว่า จะว่าไม่ทราบเลยเดี๋ยวจะเป็นการพูดโกหก เอาเป็นว่าทราบเหมือนกัน แต่ไม่สนใจ เขาจะให้ออกก็ออก แต่ไม่ให้ออกก็ไม่เป็นไร เขาจะไปทำอย่างไรก็ช่าง เราไม่สนใจ ก็เราทำงานเยอะแยะไป ความดีทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็ได้ ใครให้เราทำเราก็ทำ เจตนาเรามีอย่างเดียวคือ เอาธรรมะออกไปสู่ประชาชนให้มากที่สุด
"อะไรเราแนะนำสั่งสอนได้โดยธรรมเราทำ ทำและมันผิดหูคนเขาไม่ต้องการให้ทำเรา ก็ไม่ทำ แต่ถ้าเขาไม่ว่าอะไร ถ้าให้เราทำก็ทำต่อเท่านี้มันก็จบแล้ว พูดอย่างง่ายๆ คือไม่สนใจ" พระภาวนาวิสุทธิคุณ กล่าว
สำหรับรายการ "ปาฐกถาธรรม" เป็นรายการที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในช่วงเวลา ๐๘.๐๐-๐๘.๓๐ น. ทุกวันอาทิตย์ ติดต่อกันมานานกว่า ๒๐ ปี แล้วโดยสถานีเครือข่ายทั่วประเทศจะร่วมถ่ายทอดสัญญาณ ทำให้มีผู้ฟังจำนวนมากทั่วประเทศ อีกทั้งยังกำหนดรูปแบบของรายการว่า เป็นการปาฐกถา ไม่ใช่เทศน์ ไม่ใช่สวดมนต์ และแตกต่างจากรายการธรรมะทั่วไป ตรงที่พระที่มาแสดงปาฐกถาจะยกเอาเหตุการณ์ปัจจุบัน มาสอดแทรกหลักธรรมคำสั่งสอน..
|