สัญญาณจาก "สองวีไอพี"
เตือนสติระบอบทักษิณ
ทีมข่าวการเมือง
ผ่าประเด็นร้อน นสพ.แนวหน้า ฉบับ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๗
ยิ่งนับวันดูเหมือนว่า กระแสวิพากษ์วิจารณ์แสดงความไม่พอใจ ต่อผลงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ของบรรดาขาประจำคนรู้ทันจะขยายวงเพิ่ม ขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งล่าสุดบุคคลสำคัญ ๒ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ยอมรับในความเที่ยงธรรมและ ซื่อสัตย์สุจริตมาตลอดชีวิตได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์วิกฤตการณ์ของบ้านเมืองภายใต้ระบอบทักษิณ
บุคคลสำคัญท่านแรกก็คือ น.พ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี ซึ่งได้รับเชิญให้ไปแสดงปาฐกฐา พิเศษทางวิชาการเรื่อง "ทิศทางการพัฒนาสังคม ความรู้คู่คุณธรรม" ซึ่งจัดโดยมูลนิธิสาธารณสุข แห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่ง องคมนตรี พยายามชี้ให้เห็นว่า ปัญหาสังคมในขณะนี้ จะใช้แนวทางแบบมวยวัดมาแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ต้องอาศัยความรู้และสติปัญญา ตลอดจนศีลธรรม เข้าแก้ พร้อมกับชี้ว่า ทุกวันนี้ปัญหาที่รุมเร้าชาติบ้านเมืองอยู่ในเวลานี้ก็เพราะสังคมถูกเปลี่ยนฉาก อย่างรวดเร็ว โดยผู้กำกับละครเวทีโดยไม่ยึดถือเรื่องศีลธรรม จนฉากทางสังคมกลายเป็นเรื่อง ตัวใครตัวมัน ไม่มีใครสนใจเรื่องศีลธรรม ทุกคนพูดกันแต่ว่าใครจะรวยกว่ากัน หรือพูดง่ายๆ เป็นสังคมที่เห็นแก่ตัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา ใครหาช่องโหว่ของกฎหมายหนีชั่วหนีผิดได้ถือ ว่าได้เปรียบ
"ทุกวันนี้คนไทยคิดแต่จะเป็นเจ้าของบริษัทเยอะๆ เข้าไปตลาดหุ้นมากๆ มีเงินเยอะๆ โดยไม่ยึดมั่นในศีลธรรมคำสอนของปู่ย่าตายาย คิดแต่ว่าถ้าโกงได้กูจะโกง ถ้าหลอกได้กูจะหลอก" นพ.เกษมชี้ให้เห็นความเน่าเฟะของสังคมไทยปัจจุบันพร้อมทั้งระบุว่าความเหลวแหลกที่เกิดขึ้น ในสังคมเกิดจากประชาชนถูกมอมเมาด้วยวัฒนธรรมวัตถุนิยมและบริโภคนิยม ไม่ว่าจะเป็นการพนัน รวมทั้งหวยบนดินที่รัฐเป็นเจ้ามือรายใหญ่ นอกจากนี้คนสมัยนี้ยังฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินตัวจนก่อหนี้ สินล้นพ้นตัวไปกับรายจ่ายที่ไม่จำเป็นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพนันหรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสภาพ การณ์เช่นนี้เป็นวิกฤตการณ์ที่หากไม่แก้ไขจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตแน่นอน
สำหรับ นพ.เกษมนั้นในอดีตเช่นเดียวกับบุคคลผู้มีชื่อเสียงอีกหลายคนที่ร่วมก่อตั้งพรรคไทย รักไทยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด แต่แล้วเมื่อถึงจุดหนึ่งบุคคล ผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ต่างพากันทยอยลาออกจากพรรคไทยรักไทย เนื่องจากเห็นว่าอุดมการณ์การก่อ ตั้งพรรคไทยรักไทยไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ดั้งเดิมของผู้ร่วมก่อตั้งที่ต้องการสร้างพรรคการ เมืองที่ใสสะอาดโดยเป็นที่รวมของบุคคลผู้มีชื่อเสียงซึ่งมีประวัติซื่อสัตย์สุจริตและเป็นที่ยอมรับของ สังคม เพื่อเป็นความหวังของประชาชน
ตำแหน่งล่าสุดของ นพ.เกษม ก่อนลาออกจากพรรคไทยรักไทยก็คือ รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งขณะดำรงตำแหน่ง นพ.เกษมได้รับการยอมรับจากข้าราชการของกระทรวงศึกษาธิการว่า มีความรู้ความสามารถและซื่อสัตย์สุจริต แต่ในที่สุด นพ.เกษม ก็ถูกกดดันจากบรรดา ส.ส.ตลอด จนผู้บริหารในพรรคไทยรักไทยจนต้องลาออก ทั้งนี้หลังจากที่ลาออกจากพรรคไทยรักไทยแล้ว นพ.เกษม ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นองคมนตรีจวบจนปัจจุบัน
นอกเหนือจาก นพ.เกษม ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ได้มีการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง "๔ ปีประเทศไทย:ภาพจริงภาพลวง" โดยมี การเชิญนักวิชาการและบุคคลสำคัญมาร่วม ซึ่งในจำนวนผู้มาร่วมสัมมนาแสดงความคิดเห็นมีบุคคล สำคัญท่านหนึ่งอภิปรายได้อย่างน่าสนใจนั่นคือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร รองประธานองค์กรเพื่อความ โปร่งใสในประเทศไทย
ชื่อ พล.ต.อ.วสิษฐ อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ ย่อมรับประกันในคุณภาพในเรื่องความซื่อสัตย์ สุจริตโดยปราศจากข้อสงสัยอยู่แล้วและอาจเรียกได้ว่าเป็นนายตำรวจเพียงไม่กี่คนในบ้านนี้เมือง นี้ที่มีประวัติใสสะอาดมาชั่วชีวิต ทั้งนี้ พล.ต.อ.วสิษฐ ให้ทัศนะว่า ทุกวันนี้ติดตามความเป็นไป ของบ้านเมืองด้วยความวิตกและฝันร้ายโดยเฉพาะเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งรัฐบาลนี้ประกาศไว้ตั้ง แต่เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ แต่เพิ่งจะมาประกาศสงครามกับคอร์รัปชั่นเมื่อ ๒ เดือนที่ผ่านมานี่เอง และจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นดำเนินการอะไรกับใครได้
"ทุกวันนี้ผมก็ยังเชื่อว่ามีการทุจริตกันอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่นักการเมืองและข้าราชการ พฤติกรรมหน้าด้านๆ กำลังกลายเป็นเอกลักษณ์ของสังคมอย่างหนึ่งไปแล้ว การพัฒนาประเทศของรัฐ บาลขณะนี้มีตำหนิเพราะเราไม่รู้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจที่อ้างโตเท่านั้นเท่านี้มีอะไรแอบแฝงมาหรือไม่ แต่ปรากฏการณ์ลักษณะนี้นำความเสื่อมมาสู่สังคมไทยอย่างรวดเร็ว"
อดีตรองอ.ตร.ผู้ตงฉิน ยังเตือนสติผู้นำรัฐบาลให้ทบทวนตัวเองโดยเร็วที่สุดโดยยึดถือศีล ๕ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลทำผิดศีล ๕ ครบทุกข้อกล่าวคือ ๑. รัฐบาลนิยมการฆ่าตัดตอนหรือทำลายชีวิต จนกลายเป็นความเคยชิน ๒. รัฐบาลแย่งชิงประชาชนด้วยวิธีการหน้าด้านๆ ซึ่งเข้าข่ายผิดศีลว่า ด้วยการขโมยของผู้อื่น ๓. รัฐบาลผิดศีลว่าด้วยการประพฤติผิดในกาม โดยมีข่าวอื้อฉาวในทำนอง นี้ให้ได้ยินกันอยู่เรื่อยๆ ๔. รัฐบาลพูดเร็วพูดมากจนไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรโกหก และ ๕.รัฐบาล ชุดนี้ส่งเสริมการจำหน่ายสุราเมรัยอย่างกว้างขวางผ่านทางสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งตำบล หรือโอท็อป
ฟังความเห็นของสองบุคคลสำคัญข้างต้นแล้ว ถ้านายกฯทักษิณยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว นำคำเตือน สติไปแปรวิกฤติเป็นโอกาส และยิ่งซ้ำร้ายหากมองว่าเป็นขาประจำที่ออกมาทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ บาลแล้ว เห็นทีภาวะ "ขาลง" ของรัฐบาลอาจจะเร็วและแรงอย่างคาดไม่ถึง..
|