เสขิยธรรม
ประเด็นร้อน
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

สกัดสังฆราช ๒ รูป วิษณุแฉนิกายใหม่ ทำสงฆ์แตกแยก


คม ชัด ลึก ฉบับวันศุกร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖

          วงการสงฆ์น่าห่วง "วิษณุ" แฉมีกระแสเสนอตั้ง "สมเด็จพระสังฆราช" ๒ รูป แยกตามนิกาย แถมเตรียมก่อตั้งนิกายใหม่ พร้อมให้พระสังฆาธิการทุกระดับยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ปปช. ลั่นไม่รับลูกแม้แต่เรื่องเดียว ชี้ทำลายความน่าเชื่อถือ สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ชู ๒๑ นโยบายปฏิรูปยกบทบาทไวยาวัจกรเป็นซีอีโอประจำวัด

          วงการสงฆ์เริ่มปั่นป่วน เมื่อมีกระแสข่าวจะมีการตั้งสมเด็จพระสังฆราช ๒ รูป ตามนิกาย และยังมีกระแสข่าวตั้งนิกายใหม่อีกด้วยนั้น ต่อเรื่องนี้เมื่อวันที่ ๑๑ ธ.ค. ในการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การส่งเสริมความเจริญมั่นคงของพระพุทธศาสนา" โดยมีพระสังฆาธิการ ระดับรองเจ้าคณะจังหวัดจนถึงเจ้าคณะภาค ผู้บริหารและข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พ.ศ.) และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วม

          นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล พ.ศ.กล่าวว่า ในการปฏิรูประบบราชการ เมื่อรัฐบาลได้จัดตั้งพ.ศ.เพื่อสนองความต้องการของคณะสงฆ์ ทำให้หน่วยงานนี้กลายเป็นความหวังใหม่ของพุทธศาสนิกชน เนื่องจากปัจจุบันคณะสงฆ์ถูกมองว่าอ่อนแอ แต่เมื่อเริ่มปรับตัว เช่น ออกกฎมหาเถรสมาคม (มส.) เกษียณพระสังฆาธิการอายุ ๘๐ ปี ก็ถูกสังคมและพระสงฆ์คัดค้าน

          "ขณะนี้ แนวโน้มที่อันตรายต่อพุทธศาสนามี ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.การขอมีสมเด็จพระสังฆราช ๒ พระองค์ ตามนิกาย หากยอมให้เป็นเช่นนี้จะส่งผลให้สมเด็จพระสังฆราชไม่เป็นสกลมหาสังฆปริณายกอีกต่อไป ๒.การตั้งนิกายใหม่ ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้รัฐบาลไม่ยอม ส่วนเรื่องการตั้งนิกายใหม่ คงไปห้ามไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญให้อิสระในการนับถือศาสนา แต่รัฐไม่อุปถัมภ์และคุ้มครองนิกายใหม่ ๓.การแสดงให้เห็นว่า คณะสงฆ์ไม่น่าไว้วางใจ เช่น เสนอให้ออกกฎหมายให้พระสังฆาธิการยื่นบัญชีทรัพย์สิน ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือต่อคณะสงฆ์" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

"วิษณุ" วาง ๒๑ นโยบายปฏิรูปสงฆ์

          นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมีนโยบายพัฒนาพุทธศาสนาสอดคล้องกับที่คณะสงฆ์เสนอ ได้แก่ ๑.จัดทำแผนพุทธศาสนาแห่งชาติ ครอบคลุมเรื่องการศึกษา เผยแพร่ กฎหมาย การปกครองสงฆ์ทั้งในและนอกประเทศ ควรเป็นแผน ๕ ปี เพื่อให้ทุกฝ่ายพัฒนาพุทธศาสนาไปในทิศทางเดียวกัน ๒.ตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาช่วยงาน พ.ศ.แบ่งเป็นฝ่ายศาสนบุคคล ศาสนวินัย ศาสนวัตถุ ศาสนธรรม และศาสนพิธี ประกอบด้วย พระสงฆ์ นักวิชาการ เนื่องจาก พ.ศ.มีบุคลากรเพียง ๒๓๐ คน เท่านั้น

          ๓.ขอพระอำนาจสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ตามมาตรา ๑๙ ของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เพื่อช่วยกลั่นกรองงานต่าง ๆ ของมหาเถรสมาคม เพื่อกระจายอำนาจบริหารงานและฝึกพระรุ่นใหม่เตรียมเป็นกรรมการ มส. ๔.จัดตั้งสถาบันอบรมพระสังฆาธิการ ซึ่งรัฐยินดีจัดงบประมาณถวาย ๕.จัดตั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อสนองงานคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ๖.จัดหาอาสาสมัครพุทธศาสนาเพื่อช่วยงานคณะสงฆ์ในจังหวัดต่าง ๆ

          ๗.นำกฎหมายบ้านเมืองมาเสริมกับกฎหมายคณะสงฆ์ เพื่อลงโทษพระสงฆ์ที่ทำผิดพระธรรมวินัยและทำผิดกฎหมายอย่างเฉียบขาด โดยเฉพาะปัจจุบันพระสงฆ์ก่อเหตุที่ไม่เหมาะสมที่มากที่สุด คือการข่มขืน กระทำชำเรา ฉ้อโกง ติดยาเสพติด ใช้อาวุธปืนทำร้ายผู้อื่น สะสมอาวุธ ทำลายโบราณวัตถุ โบราณสถาน ใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งหากความผิดชัดเจน ให้ลงโทษตามกฎหมายบ้านเมือง ถ้าไม่ชัดเจนให้ถอดถอนออกจากการเป็นพระสังฆาธิการและถอดสมณศักดิ์ งดเงินนิตยภัต

          ๘.จัดยกย่องเชิดชูพระสงฆ์ สื่อมวลชนและศิลปินที่สร้างสรรค์และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม ซึ่งเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีรับสั่งต่อนายกรัฐมนตรีว่า พระสงฆ์ดี ๆ มีอยู่มาก น่าให้รางวัล นายกรัฐมนตรีจึงรับใส่เกล้าฯ ๙.ปรับปรุงกฎกระทรวง ว่าด้วยการจัดตั้ง ยุบ ย้ายวัดทั้งหมด ขณะนี้ได้มอบให้ มส.ตั้งคณะทำงานแก้ไขกฎกระทรวงนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันมีการขอตั้งวัดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก และเห็นว่า น่าจะนำเอาระบบแผนที่ทางอากาศ (GIS) เข้ามาใช้ดูแลการจัดตั้งวัด อีกทั้งผู้ขอจัดตั้งวัดจะต้องส่งรูปถ่ายพื้นที่และแผนผังของวัดมายัง มส.ด้วย เพื่อไม่ให้เวลาก่อสร้างจริงแบบแปลนวัด โบสถ์ ศาลาการเปรียญผิดเพี้ยนจากเดิม

          ๑๐.นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ในกิจการคณะสงฆ์ มีการจัดทำบัตรประจำตัวพระ ที่มีรูปประวัติและสมณศักดิ์ และลายนิ้วมือแบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งได้สั่งการให้ มส.เร่งจัดทำทะเบียนวัดเก่า วัดใหม่ วัดร้าง และทำทำเนียบพระ ทำเนียบไวยาวัจกร ทำเนียบศาสนสมบัติ โดยเฉพาะทำเนียบพระจะช่วยป้องกันไม่ให้พระสงฆ์ที่ต้องโทษปาราชิก สึกออกจากความเป็นพระกลับมาบวชไม่ได้อีก รวมถึงจัดทำบัญชีทรัพย์สินของเจ้าอาวาส ศาสนสมบัติ และวัด แยกออกจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลและตรวจสอบ

ปรับปรุงระบบซีอีโอของวัด

          นายวิษณุ กล่าวต่อไปว่า ข้อ ๑๑.ปรับปรุงบทบาทไวยาวัจกร ต่อไปไวยาวัจกรจะเป็นซีอีโอของวัด มีหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจนและมีผลประโยชน์ตอบแทน เช่น หากดูแลวัดเป็นเวลา ๑๐-๒๐ ปี อาจจะขอพระราชทานเครื่องราชฯ ให้ ๑๒.จัดตั้งสำนักจัดการศาสนสมบัติที่มีลักษณะเป็นองค์กรอิสระ จ้างมืออาชีพเข้ามาบริหาร อยู่ภายใต้การดูแลของคณะสงฆ์อีกชั้นหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อาจจะต้องแก้พ.ร.บ.คณะสงฆ์ แต่ขณะนี้ก็สามารถดำเนินการได้โดยอยู่ในความดูแลของสำนักงานศาสนสมบัติ แต่บริหารงานในรูปคณะกรรมการและจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหาร ๑๓.ปรับปรุงบทบาทหน้าที่กรมการศาสนา สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) กับ พ.ศ.ให้ชัดเจน เนื่องจากทั้ง ๒ หน่วยงาน ยังมีงานที่ทับซ้อนกันอยู่

          ๑๔.อยากให้ พ.ศ. ไปอยู่กับ วธ.เนื่องจากการให้ พ.ศ.อยู่คนละหน่วยงานกับกรมการศาสนา จะทำให้การดูแลศาสนาในภาพรวมไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งข้าราชการ พ.ศ.จะขาดความก้าวหน้าในทางราชการ ๑๕.จัดตั้งคณะกรรมการศาสนสัมพันธ์แห่งชาติ ประกอบด้วย ผู้นำศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู ซิกข์ เพื่อให้ผู้นำแต่ละศาสนาได้มาทำความตกลงกันเกี่ยวกับจรรยาบรรณ การเผยแพร่ศาสนา การก่อสร้างโบราณสถานและศิลปกรรมแต่ละศาสนา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เช่น การก่อสร้างโบสถ์คริสต์ ที่มีรูปทรงสถาปัตยกรรมไทย แต่มีไม้กางเขนหน้าโบสถ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติและการสัมมนาวิชาการ และปัญหาสังคม เช่น การทำแท้ง เป็นต้น

          ๑๖.จัดรายการธรรมะภาคปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หลังข่าวช่อง ๑๑ รายการธรรมะภาคภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางวิทยุและโทรทัศน์ โดยจะระดมพระภิกษุที่จบปริญญาโทและเอก รวมทั้งเก่งภาษาอังกฤษเข้ามาช่วยจัดรายการ และจัดรายการตอบปัญหาธรรมะ ๑๗.เพิ่มบทบาทพระสงฆ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เช่น แก้ปัญหาโรคเอดส์ ยาเสพติด การส่งเสริมการอ่าน ปลูกป่า และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ๑๘.สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเผยแผ่ธรรมะ โดยจะหาทางจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ แต่เบื้องต้นอาจจะให้จัดสรรคลื่นวิทยุชุมชนและเคเบิลทีวีให้กับพระสงฆ์เพื่อเผยแผ่ธรรมะ

          ๑๙.ส่งเสริมโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา โรงเรียนวิถีพุทธ และการจัดทำหลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนา ๒๐.จัดการแปลงงานศพให้เป็นธรรม เนื่องจากแต่ละวันมีคนเข้าวัดเป็นแสนคน แต่เข้ามาร่วมงานศพเป็นส่วนใหญ่ จึงคิดว่า น่าจะจัดการฟังธรรมะหน้าเมรุอย่างน้อยให้ได้ศพละ ๑ บทก็ยังดี และ ๒๑.ส่งเสริมข้าราชการปฏิบัติธรรม โดยให้ข้าราชการลาปฏิบัติธรรมได้ปีละ ๓-๕ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา ซึ่งจะเสนอที่ประชุม ครม.เร็ว ๆ นี้

          นายวิษณุ กล่าวอีกว่า เรื่องทั้งหมดนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการ เรื่องไหนเดินหน้าได้ก็จะทำไปก่อน ถ้าเรื่องไหนจะต้องแก้ระเบียบกฎหมายเสนอต่อที่ประชุม มส.ก็คงจะทำ แต่คงต้องใช้เวลาดำเนินการ เพราะ พ.ศ.ยุคใหม่ จะต้องทำอะไรแบบคิดใหม่ ทำใหม่ บริการใหม่ ไม่มีพระสงฆ์เป็นลูกค้าก็ต้องทำให้รวดเร็วและถูกต้อง

          "ผมรู้สึกดีใจที่ไม่ได้ยินพระสงฆ์เรียกร้องให้แก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๕ โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ ได้ยินมาว่า อาจจะเกิดเหตุใหญ่โต เพราะการเสนอแก้พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งรัฐบาลเข้าใจถึงเรื่องนี้ เพราะทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ต่างมีเหตุผลของตัวเอง ส่วนการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ รัฐบาลทำแน่ แต่ต้องมีความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ส่วนกฎหมายส่งเสริมและคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่พระสงฆ์เรียกร้องเพื่อเป็นกฎหมายลูกตามมาตรา ๗๓ ของรัฐธรรมนูญ เรื่องนี้เห็นด้วยและจะไปดำเนินการต่อไป" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกฯ ก.พ.ร.ให้รอบคอบดึงคนนอก

          ส่วนนโยบายที่จะให้บุคคลจากภาคเอกชนเข้ามาดำรงตำแหน่งข้าราชการระดับสูง ทั้งตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูตหรือตำแหน่งข้าราชการระดับบริหาร ซี ๙-๑๐ นายนพดล เฮงเจริญ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะนายกสมาคมข้าราชการพลเรือนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การที่ดึงบุคคลภายนอกเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงตามหน่วยงานราชการ เห็นว่า เราควรที่จะต้องคำนึงถึงความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินได้มุ่งถึงประโยชน์สุขของประชาชน และความเจริญก้าวหน้าของประเทศเป็นจุดสำคัญ ไม่ใช่มีจุดมุ่งหมายไปที่เน้นกำไรสูงสุด ดังเช่นหน่วยงานของรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีความระมัดระวังในเรื่องผลประโยชน์ที่ทับซ้อน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด

          ผู้สื่อข่าวได้สอบถามแนวคิดของรัฐบาลดังกล่าว จากผู้ว่าราชการจังหวัดหลายคน แต่พบว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละคน ไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเปิดเผย แต่ได้แสดงความรู้สึกในเรื่องนี้ออกมา ทั้งนี้ผู้ว่าราชการ (ซีอีโอ) จังหวัดหนึ่ง เปิดเผยว่า การทำงานระบบใหญ่ควรคิดให้รอบคอบ เราไม่ได้พูดถึงตัวเรา แต่เราพูดถึงระบบที่จะต้องอยู่กับคนรุ่นหลังและประชาชน หากมีความผิดพลาดจากการนำคนนอกเข้ามา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ น่าจะมีคนกล้ารับผิดชอบ อย่าได้ทำงานแบบตาบอดคลำช้าง บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่นแล้วสิ่งที่ทำไม่ดีไว้ จะทำอย่างไรต่อไป

          แหล่งข่าวกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า เรื่องการรับคนนอกเป็นเอกอัครราชทูต ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง จะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และความเหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ที่สำคัญต้องให้เหตุผลได้ว่า มีความสามารถเหนือกว่าข้าราชการประจำกระทรวงอย่างไร และหากจะเอาพ่อค้าจากภาคเอกชนเข้ามาทำงานตรงนี้ จะต้องมีการพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว เนื่องจากตำแหน่งนี้เป็นเหมือนตัวแทนของประเทศ ซึ่งมีเกียรติอย่างมาก

          ส่วนโครงการแก้ปัญหาสังคมและความยากจนเชิงบูรณาการ ที่รัฐบาลได้ให้ประชาชนจาก ๘ จังหวัดนำร่อง มาลงทะเบียน ได้แก่ จ.ชลบุรี พิษณุโลก สงขลา สุราษฎร์ธานี นครราชสีมา นครปฐม เชียงใหม่ และ จ.อุดรธานี นั้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่น่าเป็นห่วง แต่ไม่ใช่ประมาท แต่เมื่อเราวางยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง กำหนดแผนงานที่ต้องทำในระยะต่าง ๆ ชัดเจนได้แล้ว ก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วร้อยละ ๕๐ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ ๕๐ คิดว่า ภายใน ๒-๓ ปีก็จะรู้ผล โดยภายในปีหน้าจะประกาศผลสำเร็จเรื่องการต่อสู้เอาชนะความยากจนได้ในระดับที่น่าพอใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราจะเห็นภาพคนจนและคนด้อยโอกาสได้ชัดเจน...

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว |> ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย | จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :