กระดานข่าวเสขิยธรรม เสขิยธรรม : : skyd.org

 ช่วยเหลือช่วยเหลือ   ค้นหาค้นหา   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก   กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   สมัครสมาชิก(Register)สมัครสมาชิก(Register)
 ข้อมูลส่วนตัว(Profile)ข้อมูลส่วนตัว(Profile)   เข้าสู่ระบบเพื่อเช็คข้อความส่วนตัวเข้าสู่ระบบเพื่อเช็คข้อความส่วนตัว   เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)

น.ต.ประสงค์พูด "ระบอบทักษิณในสายตาของพระ"

 
สร้างหัวข้อใหม่   ตอบ    กระดานข่าวเสขิยธรรม -> กระแสธรรม
อ่านหัวข้อก่อนหน้า :: อ่านหัวข้อถัดไป  
ผู้ตั้ง ข้อความ
skyd.org
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: Thu Aug 05, 2004 01:19    เรื่อง: น.ต.ประสงค์พูด "ระบอบทักษิณในสายตาของพระ" ตอบโดยอ้างข้อความ

ระบอบทักษิณในสายตาของพระ(1)

"พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัว หนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่ เห็นไหม มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็ เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่มันก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์"
เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น
ความจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน
พระภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่ มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่อง ของเจ้าของตัวเอง
เห็นผิดยึดมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือ เหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็ สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้"
หลวงพ่อชา สุภัทโท
นำมาให้ฟังเพราะเห็นว่าขณะนี้มีคนที่ยังยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็นของตนเอง ไม่ฟัง อะไรทั้งนั้น ใครบอกใครแนะหรือใครวิพากษ์วิจารณ์อะไรเป็นต้องถูกตอบโต้ด่าว่ากลับไป ทุกครั้ง ไม่อยมรับรู้เรื่องของตนเองที่ไม่เข้าท่า แต่โทษคนอื่นยันว่าไม่รู้เรื่อง ความรู้ยังน้อย อายุยังน้อยไม่เท่าพ่อ เป็นพวกขาประจำเป็นเด็กนักเรียนหลังห้อง แม้กระทั่งพระสงฆ์ องค์เจ้าก็ไม่เว้น ไล่ให้ถอดจีวรออกไปโน่นเลย
ดำรงชีวิตแบบนี้จะสบายได้อย่างไร
ความไม่สบายคือความเห็นผิดที่มีอยู่ ไม่สำรวมสังวรอินทรีย์ทั้งหลายอย่างที่ หลวงพ่อ ชาว่าไว้ข้างต้น ไม่ยอมรู้เรื่องของตัวเอง ไม่รู้จักพุทธภาษิตที่ว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร"
ขอชนะลูกเดียวแม้กระทั่งกับพระ
ขึ้นบัญชีดำพระที่เทศน์ตรงเกินไปกับเรื่องของบ้านเมือง ที่กำลังเสื่อมโทรมลงไปโดย เฉพาะคุณธรรมศีลธรรม เนื่องมาจากความไม่ใส่ใจของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารประเทศ แต่ละวันส่งเสริมกันแต่เรื่องอบายมุข ยั่วยุให้เกิดการบริโภคนิยมอย่างเลยเถิดหาขอบเขตไม่ได้
หลักธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาซึ่งจรรโลงสังคมไทยมาตั้งแต่เริ่มก่อ ร่างสร้างประเทศ ให้คนไทยดำรงชีวิตอยู่ในศีลในธรรมไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ลุ่มหลงมัวเมา ในอบายมุข กำลังสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลชุดนี้
พระออกมาเทศน์เตือนก็ถูกกาหัวไม่ให้เทศน์
เพราะฟังแล้วไม่สบาย ฟังแล้วคันเนื้อคันตัวไปหมด
ได้ไปอ่านพบในหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ไทยโพสต์ฉบับวันอาทิตย์ที่ 1-7 สิงหาคม 2547 เกี่ยวกับความเห็นของพระสองรูปซึ่งได้แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้แล้ว อยากนำมาบอกเล่าให้ได้อ่านได้ฟังกันอีกครั้งหนึ่งเพราะเป็นความคิดเห็นที่เป็น ประโยชน์อย่างยิ่งกับสังคมไทยปัจจุบัน
รูปหนึ่งคือ พระศรีปริยัติโมลี รองอธิการฝ่ายกิจการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยจุ ฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา และมีบทบาทมาตั้งแต่ครั้งร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ พ.ร.บ.จัดรูปที่ดินของสงฆ์
อีกรูปหนึ่งคือ พระกิตติศักดิ์ กิติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม กลุ่มพระหนุ่มที่ทำ งานเพื่อสังคม เคยศึกษาพระธรรมอย่างจริงจังที่สวนโมกข์ แล้วไปอยู่ที่สำนักสงฆ์ที่เชียงใหม่
ทั้งสองรูปดังกล่าวได้แสดงความเห็นไว้อย่างตรงเป้าของปัญหาที่กำลังเป็นอยู่ใน บ้านเมืองขณะนี้ว่าเป็นอย่างไร
ขอนำความเห็นของ พระศรีปริยัติโมลี มาให้ฟังก่อน เป็นความเห็นที่สรุปมาเฉพาะ เรื่องบางเรื่องเท่านั้นที่คนไทยทุกคนควรทราบ
ท่านว่าของท่านไว้ดังนี้
"ฐานความคิดของรัฐบาลเป็นเรื่องบริโภคนิยม อะไรที่แปลงเป็นเงินได้รัฐบาลก็จะ เอาหมด โดยไม่คำนึงว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องผิดศีลธรรมหรือเปล่า อย่างเรื่องเหล้าเถื่อน หวยใต้ดินก็เอาขึ้นมาบนดิน อย่างประกาศสงครามกับยาบ้าก็ฆ่าตัดตอนไปกว่าสองพันคน ถือ ว่าโหดร้ายมากนะ ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปเท่าไร คล้ายๆ ว่าเป้าหมายเขาต้องการความสำเร็จ แล้วยังอีกหลายเรื่องที่เขาพยายามจะทำ แม้กระทั่งเรื่องที่วัด"
"พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินวัด ที่ธรณีสงฆ์ที่มีมูลค่าเป็นหมื่นล้าน ถ้าออก พ.ร.บ.นี้มาได้ นอกจากจะลบล้างความผิดเรื่อง อัลไพน์ ที่ค้างคาเป็นหนามติดคออยู่ ก็ยังจะได้ประโยชน์ เอากฎหมายเข้าไปอ้างจัดประโยชน์ในที่วัด ยังพูดกันเรื่อยว่าถ้ากฎหมายฉบับนี้ออกมา วัดที่ จะถูกจัดการเป็นวัดแรกในกรุงเทพฯคือวัดปทุมวนาราม ที่อยู่ระหว่าง เวิลด์เทรดกับศูนย์ การค้าสยาม กลายเป็นว่าวัดไม่ควรจะอยู่ในที่ชุมชนแล้วใช่ไหม ก็ใช้กฎหมายนี้โหวตกัน 2 ใน 3 จัดซื้อที่ใหม่ให้วัดย้ายไป ได้ที่ดินมูลค่าเป็นพันๆ ล้าน อย่างนี้ก็ทำได้แม้กระทั่งวัด บวรฯ วัดชนะสงคราม จัดโซนย้ายวัดไปอยู่ชานเมืองเลย
"แม้กระทั่งเรื่องบ่อนเสรี เอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เขาก็จะเปิดอยู่แล้ว แต่กำแพงที่ต้านเขาให้เปิดไม่ได้คือเรื่องของศีลธรรม เรื่องของพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าพระ เจ้าพระสงฆ์แข็ง ชาวพุทธแข็ง ก็ทำไม่ได้ ลึกๆ เขายังหวั่นว่าถ้าพระสงฆ์พูดเป็นเสียง เดียวกัน ชาวบ้านก็จะไม่เลือกเขา หรือถูกพระสงฆ์เจริญพรทุกๆ วันเขาก็อยู่ไม่เป็นสุข หรอก ฉะนั้นความคิดมันต่างกัน"
"แต่โดยที่รัฐบาลชุดนี้เขาคุมอะไรๆ ไว้เยอะ สื่อก็คุมได้ยกเว้นไทยโพสต์ (หัวเราะ) ทีวี.วิทยุขณะนี้เขาก็อยากจะคุม เขาก็พยายามออกมาบ้าง โยนหินถามทาง พระพูดการเมือง ออกมาเลยสิ ทิ้งจีวรมาเลยสิ ส่วนหนึ่งเขาอาจจะต้องการดิสเครดิตพระว่าไม่น่านับถือ ส่วนหนึ่งก็โยนหินถามทางดูก่อน ชาวบ้านจะเอากับเขาไหม หยั่งเชิงดู"
ยังไม่หมดครับ
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ พระศรีปริยัติโมลี แสดงความเห็นไว้อย่างตรงเป้าต่อปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองภายใต้การทำงานของรัฐบาลชุดนี้
เป็นคำเจริญพรที่แม้มารจริงๆ ก็ต้องสะดุ้ง
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)


http://www.naewna.com

ระบอบทักษิณในสายตาของพระ(2)

(ต่อจากเมื่อวานนี้)
วันนี้มาว่ากันต่อถึงความคิดความเห็นของพระศรีปริยัติโมลี รองอธิการฝ่ายกิจการต่างประ เทศของมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่มีต่อการทำงานของรัฐบาลปัจจุบัน ตามที่ได้นำมา เล่าให้ฟังไปบ้างแล้วเมื่อวานนี้
ท่านว่าไว้อีกดังนี้
"เขารู้สึกว่า โดยเฉพาะ นายกฯ คล้ายๆ คุมอำนาจได้หมด ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ พระ คือใคร ขนาดบริษัทใหญ่ๆ ยังต้องโค้งให้เขาหมดกองทัพเขายังจับหันซ้ายหันขวาได้ เอ็นจีโอจัดเข้า ระเบียบ พระเป็นใคร ส่วนใหญ่เขาก็มองว่าพระเป็นพลังเงียบ ไม่มีพลังอะไร แต่ว่า 2-3 ครั้ง ที่พระรวมกันได้นี่ แรกๆ เขาก็ประเมินสถานการณ์ผิด คิดว่าจะไม่แข็ง อาจจะไม่มีปัญญาพูดกับสา ธารณชน แต่เขาประเมินสถานการณ์ผิด คือสาธารณชนเขาก็รู้ มันก็เป็นกรรมของนักการเมืองที่ ชาวบ้านเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว ชาวบ้านเขาไม่เชื่อ อย่างทุจริต 900 ล้านเขาไม่เชื่อคุณสุดารัตน์
นายกฯที่พูดๆ คนก็ไม่เชื่อเยอะเลย
แม้กระทั่งห้ามไม่ให้พระออกรายการวิทยุ พอท่านออกมาโต้ไปโต้มา มีแต่คนออกมาเข้า ข้างพระนะ ไม่มีใครเข้าข้างรัฐบาล เพราะฉะนั้นคราวนี้จึงบอกว่า เย็นไว้โยม ไม่กล้าโต้คุณธีรยุทธ"
"อาตมาก็พูด ไม่ใช่พระไปยุ่งการเมือง แต่การเมืองมายุ่งกับพระ อย่างเรื่องสำนักงานพระ พุทธศาสนา มันก็ยุ่งกันมาตั้งแต่ร่าง พ.ร.บ. เอาฆราวาสมาคุม เราก็ยอมไม่ได้ เอาฆราวาส 39 คน มาคุมมหาเถรสมาคม อำนาจอย่างนี้เราไม่ยอม คนมีทั้งฆราวาสที่เป็นพุทธและศาสนาอื่น อย่างนี้เราค้าน
พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินก็เหมือนกัน จู่ๆ เขาจะมายึดวัดของเรา แล้วเราไปบอกโยมเขาจะ ยึดวัดแล้ว เราก็ไปรวมกันว่าไม่ได้ ไม่ให้ยึดวัด แล้วอย่างนี้จะไปว่าพระมายุ่งกับการเมือง การ เมืองมายุ่งกับเรา"
"วิทยุรัฐสภาหลวงพ่อเคยจัดรายการพูดกับหลวงพ่อต่วนหลายปีมาแล้ว เดิมชื่อรายการธรรมะ กับการพัฒนาประชาธิปไตย พูดไปๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นธรรมะกับการเมือง แล้วมาถึงช่วงที่มีปัญหา กับทางรัฐบาล เขาก็บอกว่าต่อไปพูดสองคนไม่ได้ ต้องเอาเจ้าหน้าที่รัฐสภามาร่วมจัดด้วย ก็มีคน หนึ่งมาช่วยจัด คอยดึงจีวรหลวงพ่ออยู่เรื่อย คอยกระตุก แล้วเปลี่ยนชื่อให้ใหม่ว่า ธรรมะในพระ พุทธศาสนา ก็มีคนมาคอยอัดเสียงคอยเช็คว่าพูดอะไรพาดพิงนายกฯหรือเปล่า เขาจะเบรกอยู่ เรื่อยๆ ช่วงที่มีปัญหา พ.ร.บ.จัดรูปที่ดิน วิทยุต่างๆ ที่พระไปเช่า พวกที่เป็นนายหน้าให้เช่ามันก็จะ กลัวมาก กลัวเสียผลประโยชน์ พอพระพูดพาดพิงถึงการเมืองปุ๊บก็จะดูดเสียงเลย"
"แทบทุกสถานีเลยตอนนี้ พอพูดปุ๊บหวั่นไหวกันไปหมด พระพูดมานานแล้ว พูดทุกรัฐบาล ที่พระ ต้องพูดและเจาะจงต้องพาดพิงก็เพราะถ้านายกรัฐมนตรีทำผิด มันหมายถึงความเสื่อมเสียทางการ เมืองไม่ใช่ตัวท่านอย่างเดียว ในคำสอนมีว่าถ้าผู้นำดี อาณาประชาราษฎร์ก็จะปฏิบัติตาม แล้วดวง จันทร์ ดวงอาทิตย์ ดวงดาวก็จะโคจรไปอย่างถูกต้อง สิ่งต่างๆ หมุนเวียนไปอย่างถูกต้อง ฟ้าฝนก็ ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารก็จะอุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นผู้นำหรือผู้ปกครองเป็นปัจจัยสำ คัญที่จะทำให้ประเทศชาติมีความสุขหรือไม่มีความสุข เจริญรุ่งเรืองหรือไม่รุ่งเรือง ดังนั้นพระจึง มีความรู้สึกว่าผู้นำต้องปฏิบัติธรรมให้มากที่สุด อะไรที่ท่านทำหมายถึงอนาคตของประเทศทั้งประเทศ"
"แม้กระทั่งการปฏิรูปการเมืองที่มันไม่สำเร็จ องค์กรอิสระถูกแทรกแซง เลือกตั้งก็เป็น เพียงรูปแบบเพราะมันซื้อเสียงกันตั้งแต่ยังไม่เลือก...ปฏิรูปการเมืองต้องใช้เวลาและต้องใช้ ศีลธรรม ต้องวางมาตรฐานทางศีลธรรมลงไปสู่ประชาชนจึงจะสำเร็จ อาจต้องใช้เวลายาวนาน"
"ไทยรักไทยแข็งเกินไปแล้ว จะปราบคอร์รัปชั่นทุจริตมันยิ่งโกงยิ่งกิน คอร์รัปชั่นเชิงนโย บายมันหนักกว่าเดิม เพราะเราไม่เคยพูดถึงศีลธรรมเลย คนไม่มีศีลธรรมมันทำทุกอย่างเพื่อให้ ได้มา ถ้าหากห้ามไม่ให้พระพูดการเมือง แล้วเมื่อไรจะปฏิรูปการเมืองได้"
"หวยใต้ดินเอาขึ้นมาบนดิน แล้วก็เอาเงินบางส่วนไปให้การศึกษา เพื่อให้เด็กมาปกป้องว่า หวยใต้ดินขึ้นมาข้างบนแล้วมันดี เพราะเด็กได้ได้ทุนศึกษา อาตมาว่าอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรม เงินไป ใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างอื่นเยอะแยะ เอเปก 5-6 พันล้าน เด็กที่จะเรียนกว่าจะได้ 100-200 ล้านต้องรอให้หวยใต้ดินขึ้นมาบนดินก่อน"
"หาเสียงก็บอกว่าต่อไปก็บอกว่า ต่อไปเราจะไม่เอาชนะทางการเมือง เราจะแก้ปัญหา ความยากจน แต่ท่านก็ไปดูดใครต่อใครเข้ามาเยอะแยะ แล้วบอกว่าจะไม่เอาชนะทางการเมือง คนเขาก็มองเห็นกันอยู่ ทำอะไรให้ตรงไปตรงมาสิ"
"ยกคำพระมาพูดบ่อยเสียด้วย ยกมาพูดกับพระด้วยนะ ให้พระอย่ายึดมั่นถือมั่น"
"ถ้าแกไม่เปลี่ยนแนวก็ลำบาก อย่างอาจารย์ธีรยุทธว่า จะเกิดขบวนการต่อต้านแก ถ้า สภาพึ่งไม่ได้ จะมีขบวนการประชาชนที่จะออกมาต่อต้านแก อาจจะเป็นแบบหลายๆ ประเทศที่ผู้นำ จะไม่ได้อยู่ในประเทศ"
ขอนำมาเล่าให้ฟังเพียงเท่านี้สำหรับความคิดเห็นของ พระศรีปริยัติโมลี ที่มีต่อรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ตรงเป้าทุกเป้าของปัญหา
อีกรูปหนึ่งคือ พระกิตติศักดิ์ กิติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรมซึ่งอยู่ที่สำนักสงฆ์เชียง ใหม่ ได้แสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาลชุดนี้ไว้อย่างตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน และเข้าตรงเป้าทุก เป้าเช่นเดียวกัน
ว่าไว้ดังนี้
"เหตุที่ต้องพูดแรงก็เพราะรู้สึกว่า บางทีสำหรับบางคนก็ต้องใช้อะไรแรงๆ บ้าง เพราะ นายกรัฐมนตรีอาจจะถูกห่อหุ้มด้วยคำป้อยอไปเสียแล้ว"
"ครั้งแรกที่เกิดผลกระทบก็ตอนที่พูดในที่ชุมนุมสมัชชาคนจนหน้าทำเนียบฯ ตอนนั้นก็พูดเรื่อง เปิดเขื่อนปิดเขื่อน เปิด 4 เดือน ปิด 8 เดือน เราก็ยกตัวอย่างให้ชาวบ้านฟังว่า เรื่องนี้ถ้า ให้คุณทักษิณเข้าใจให้ได้ พวกเราต้องลองปิดโทรศัพท์มือถือ 8 เดือน เปิด 4 เดือน ถ้าเป็น อย่างนี้คุณทักษิณจะเข้าใจ เพราะว่ามันวิถีชีวิตชาวบ้านทำมาหากินกับแม่น้ำ คุณทักษิณก็ทำมาหากิน กับโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ใช้มือถือ เอไอเอส 8 เดือน ใช้ 4 เดือน คุณทักษิณจะเข้าใจได้
วันรุ่งขึ้นเจ้าคณะตำบลก็ไปหา ฝ่ายคณะสงฆ์ไปตรวจสอบว่าที่เราอยู่เป็นสำนักสงฆ์ที่ถูกต้อง ตามกฎหมายหรือไม่ มีกิจวัตรยังไงบ้าง"
"อีกครั้งไปพูดที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ พูดว่า คุณทักษิณขาดหิริโอตตัปปะ ถ้าภาษาไทยก็คือ หน้าด้าน คนที่คิดได้อย่างคุณทักษิณมีเยอะแต่เขาไม่ทำ ที่ไม่ทำเพราะเขาละอายต่อบาป"
(อ่านต่อวันพรุ่งนี้)


http://www.naewna.com

ระบอบทักษิณในสายตาของพระ(จบ)

(ต่อจากเมื่อวานนี้)
พระกิตติศักดิ์ กิติโสภโณ ประธานกลุ่ม เสขิยธรรมที่อยู่ที่สำนักสงฆ์เชียงใหม่ ได้แสดง ความเห็นต่อรัฐบาลชุดนี้ไว้หลายอย่าง ดังที่ได้ นำมาเล่าให้ฟังไปบ้างแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้มาฟังกันต่อไปอีกว่าท่านพูดอะไรไว้บ้าง
ท่านว่าไว้ดังนี้
การที่รัฐบาลมีปัญหากับพระก็ไม่ต่างไปจาก ที่มีกับขาประจำทั้งหลาย แน่นอนรัฐบาลมีบทบาท ที่แปลกใหม่หลายเรื่อง และบทบาทแปลกใหม่เหล่านี้ก็เป็นที่สนใจ พอผ่านๆ มาคนเริ่มเอะใจ เคยพูดกัน ว่า ถ้ารัฐบาลนี้เป็นเหมือนซีดีหนังสักแผ่น ถ้ามี การย้อนกลับมาดูใหม่มันจะเห็นอะไรบางอย่างที่แฝง อยู่ในนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขากลบไปแล้วอย่างที่ธรณีสงฆ์ สนามกอล์ฟ หรือเรื่องที่จะเอาที่ดินวัดมาใช้ประโยชน์ หวยสองตัวสามตัว เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ทำให้หลายคนเริ่มจับตา มีคนตั้งข้อสังเกตมากขึ้น อาตมาว่ามันเป็นปฏิกิริยาของคนที่เริ่มฉุกคิด เริ่มมีสติขึ้นมาว่าเอ๊ะอะไรกันแน่ ในแวดวงพระก็มีการพูดกันเยอะ คุณทักษิณเป็นนายกฯที่มักจะอ้างธรรมะธัมโมบ่อยๆ ขณะเดียวกันวิถีชีวิตคุณทักษิณไม่สอดคล้องกับ สิ่งที่พูด อาตมาเคยคุยกับพระผู้ใหญ่บอกว่า คุณทักษิณไม่เคยร่วมประกอบศาสนพิธีที่สนามหลวงหรือที่พุทธมณฑล วันสำคัญทางศาสนาคุณทักษิณไปต่างประเทศ แล้วที่คุณทักษิณแสดงออกหลายเรื่อง เป็นการแสดงแบบไม่ใช่เป็นคนที่มีธรรมะ เรื่องอบายมุขเป็นเรื่องเซ็นซิทีฟกับชาวพุทธ คิดว่าถ้าคุณทักษิณเข้ามาสมัยที่ 2 ก็ยิ่งมากกว่านี้แน่นอน
การห้ามพระเทศน์เรื่องการเมือง ก็ทำให้นายกฯ เจอปฏิกิริยาตอบโต้ไม่น้อย พอคุณทักษิณคอมเมนท์พระว่า ถ้าจะเล่นการเมืองให้ถอดจีวรออกมา ก็มีการตอบโต้ย้อนกลับทันทีเลยว่า อย่างนี้แสดงว่าคุณทักษิณไม่ฟังใครอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่นักวิชาการ ราษฎรอาวุโสแล้ว แม้แต่พระก็โดน
มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพระแสดงทัศนะก็มี 2 อย่าง นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจทางสังคม หนึ่งรับฟังแต่จะปฏิบัติตามหรือไม่อีกเรื่องหนึ่ง กับสอง แม้จะ ไม่เห็นด้วยก็ยอมรับโดยบทบาทหน้าที่ว่าท่านไม่มี ผลประโยชน์ มีส่วนได้ส่วนเสีย อาจจะมีการล็อบบี้บ้างก็อีกเรื่อง แต่ไม่ใช่ลักษณะออกมาดูหมิ่นอย่างนี้
หลวงพ่อปัญญาท่านก็เทศน์มาหลายสิบปีแล้ว พูดเรื่องมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรม แล้วก็แสดงทัศนะว่าบ้านเมืองควรจะเป็นอย่างไร ท่านอาจารย์พุทธทาส มีหนังสือธรรมโฆษณ์ ธรรมะกับการเมือง ไม่นับธรรมิกสังคมนิยม ทั้งอำนาจบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดชัดเจน
นายกฯไม่ได้เข้าใจหลักธรรมเหล่านี้แม้จะชอบยกมาอ้าง
คุณทักษิณไม่เข้าใจ ก็เหมือนที่ว่าแกได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง หรือฟังแต่ไม่ได้ยิน แค่เข้าใจว่ามันเป็น คำพูดที่ดูดี ยกบาลีขึ้นมา ยกอาจารย์พุทธทาส มาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผิด คือพูดมาในความหมาย ที่ให้ประโยชน์กับตัวเอง
คุณทักษิณยกท่านพุทธทาสเรื่องอิทัปปัจจยตา หรือว่าเรื่องธรรมะกับการเมืองอะไรต่างๆ พูดได้เลยว่า คุณทักษิณพยายามอธิบายโดยเอาคำพระมาจับ มัน ไม่สอดคล้องกับหลักธรรมะหลายระดับ สิ่งที่ยกมาอ้างเรียกว่าแต่งหน้าเป็นครีมหน้าเค้กเฉยๆ สิ่งที่คุณทักษิณคิดล่ะ นโยบายที่คุณทักษิณวาง สิ่งที่ต้องการนำพาประเทศนี้ไป มันขัดต่อความสันโดษ การอยู่ง่ายกินง่าย เศรษฐกิจพอเพียง เรายังพูดกันเลยว่า คุณทักษิณกำลัง ทำอนันตริยกรรม คือบาปใหญ่ที่ห้ามสวรรค์ห้ามนิพพาน ด้วยการนำพาประเทศไทยไปสู่สังคมบริโภค โดยที่สังคมไทยไม่ได้มีพื้นฐานที่สอดคล้องกับทิศทางนั้นเลย ทางสังคมจริงๆ แล้วไม่ควรให้เป็นผู้นำประเทศต่อไป
คำว่าปล่อยวางที่คุณทักษิณพูด ปล่อยวางอย่ามาคัดค้านผมนะ ใช่ไหม ปล่อยวางให้ผมสามารถไปทำสัญญาเอฟทีเอ ถามว่าเป็นอย่างนี้ใครจะปล่อยวาง คุณทักษิณควรจะปล่อยวางประเทศนี้ได้แล้ว
แกมองว่าธรรมะเป็นเครื่องมือที่จะนำไปสู่ ความสำเร็จ ในแง่หลักพุทธธรรมนั้น ธรรมะเป็นเครื่องมือ นำไปสู่การดับทุกข์ แต่ปรากฏว่าคุณทักษิณขยักไว้ครึ่งหนึ่ง ธรรมะเป็นเครื่องมือนั่นแหละ แต่เป็นเครื่องมือทำให้สิ่งที่ตัวเองต้องการได้รับการตอบสนอง ประสบความสำเร็จ
คุณเคยเห็นโฆษณามือถือที่ให้กดเบอร์ไปถามหมอดูไหม ที่เป็นรูปคนนั่งสมาธิ ต่อไปคุณไม่ต้องไปนั่งสมาธิอีกแล้ว กดเบอร์นี้เรามีคำตอบ มันก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในด้านการตลาด เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณทักษิณทำอยู่ต้องแยกว่าคุณทักษิณพูดอะไรแล้วทำอะไร มันก็จะสะท้อนว่า คุณทักษิณคิดอะไร กาย วาจา ใจ คุณทักษิณเป็นยังไง
พระพุทธเจ้าเกิดมาในโลกเพื่อดับทุกข์ให้ประชาชน พระพุทธเจ้าชี้แนะว่าวิถีชีวิตที่เหมาะสมเป็นยังไง ชี้แม้กระทั่งเป็นรัฐบาลที่ดีเป็นยังไง กษัตริย์ที่ดีเป็นยังไง พระท่านก็พูดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด ถ้าบอกว่าห้ามพระพูดถึงคนจำนวนมาก ห้ามพูดถึงความทุกข์ ห้ามพูดถึงปัญหาทางออก ก็เหมือนยกเลิกพระพุทธศาสนาไป ถึงยังไงในความเป็นพระท่านก็ต้องพูดเรื่องนี้
บางส่วนจัดการไม่ได้ก็พยายามจัดการ ไม่ได้ ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ยิ่งมีนักกฎหมายเก่ง เนติบริกร เขาก็ใช้กฎหมาย
คุณทักษิณท้าทายคุณธรรมจริยธรรม ถ้าใช้ศัพท์หน่อยก็คือ คุณทักษิณกำเริบเสิบสานว่าตัวเอง เข้มแข็งแล้ว มีอำนาจแล้ว คุณทักษิณคิดว่าทำได้ทุกอย่าง แต่การเผชิญหน้ากับคุณธรรมมันต้องใช้คุณธรรมที่ ยิ่งกว่าจึงจะเอาชนะคุณธรรมระดับรองลงไปได้
ทำไมไม่ใช้โอกาสทำความดี ทำไมไปใช้ศักยภาพ ทางฮึกเหิม ท้าทายคนนั้นคนนี้ ถ่มน้ำลายรดฟ้า ก็จะเหมือนคนอื่นพูดว่าวันหนึ่งจะไม่มีแผ่นดินอยู่ คุณเป็นคนรวยที่ทุกคนเกลียดหมด คุณไปไหนต้องมีกองทัพ ส่วนตัวเป็นร้อยเป็นพัน สิ่งที่คุณทักษิณน่าจะทำคือ ตั้งสติให้ดีทำเรื่องที่เป็นประโยชน์
ทั้งหมดเป็นสาระสำคัญที่ พระกิตติศักดิ์ กิติ โสภโณ แสดงความเห็นผ่านแทบลอยด์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันที่ 1-7 สิงหาคม 2547 ควบคู่ไปกับการแสดงความเห็นของ พระศรีปริยัติโมลี ตามที่ได้นำมาเล่าให้ฟังในตอนต้น
สาธุชนทั้งหลายได้ยินได้ฟังแล้วย่อมเห็นได้ว่า แม้กระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ดูจะเหลือทนแล้วจริงๆ กับสภาพบ้านเมืองขณะนี้
ลูกศรอาบยาพิษที่ยิงปักอกชาวบ้านนั้น วิธีแก้ไขที่ถูกต้องที่สุดก็คือ ต้องรีบถอนลูกศรอาบยาพิษนั้น ออกไปเสียก่อน ไม่ใช่เที่ยวไล่หาว่าลูกศรทำจากไม้อะไร ยิงมาจากทิศไหน
รีบถอนมันออกให้พ้นก่อนให้ได้
บ้านเมืองก็จะไม่ตาย


http://www.naewna.com
ขึ้นไปข้างบน
เรียงลำดับข้อความตอบจากก่อนหน้า:   
สร้างหัวข้อใหม่   ตอบ    กระดานข่าวเสขิยธรรม -> กระแสธรรม ปรับเวลา GMT - 5 ชั่วโมง
หน้า 1 จาก 1

 
ไปที่:  
คุณสามารถสร้างหัวข้อใหม่ได้
คุณสามารถพิมพ์ตอบได้
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์หรือภาพประกอบในกระดานนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์จากกระดานนี้



เสขิยธรรม

Powered by phpBB 2.0.10 © 2001, 2002 phpBB Group