กระดานข่าวเสขิยธรรม เสขิยธรรม : : skyd.org

 ช่วยเหลือช่วยเหลือ   ค้นหาค้นหา   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก   กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   สมัครสมาชิก(Register)สมัครสมาชิก(Register)
 ข้อมูลส่วนตัว(Profile)ข้อมูลส่วนตัว(Profile)   เข้าสู่ระบบเพื่อเช็คข้อความส่วนตัวเข้าสู่ระบบเพื่อเช็คข้อความส่วนตัว   เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)

ปมปัญหา ในพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช พ.ศ.2471 จากสมเด็จพระส

 
สร้างหัวข้อใหม่   ตอบ    กระดานข่าวเสขิยธรรม -> กระแสธรรม
อ่านหัวข้อก่อนหน้า :: อ่านหัวข้อถัดไป  
ผู้ตั้ง ข้อความ
skyd.org
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: Sun Jun 27, 2004 07:19    เรื่อง: ปมปัญหา ในพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช พ.ศ.2471 จากสมเด็จพระส ตอบโดยอ้างข้อความ

วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 24 ฉบับที่ 1245

ธรรมลีลา

ฉัตรสุมาลย์

ปมปัญหา ในพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช พ.ศ.2471 จากสมเด็จพระสังฆราช จนถึง ดร.วิษณุ เครืองาม

ในช่วงนี้ มีการกล่าวขวัญถึงพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช 2471 กันอยู่บ่อยๆ ท่านผู้อ่านมติชนหลายคนคงยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน ส่วนใหญ่เพราะเกิดไม่ทัน (อย่างเช่นผู้เขียนเป็นต้น)

งานวิจัยเรื่อง "นริทร์กลึง คนขวางโลก ?" โดย คุณศักดินา ฉัตรกุล ซึ่งมติชนเคยจัดพิมพ์เผยแพร่เมื่อหลายปีก่อน เป็นหนังสือที่ให้ข้อมูลรายละเอียดมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในบทความนี้จะขออนุญาตนำเสนอแบบย่อ เพื่อให้เห็นความต่อเนื่องและความเป็นมาของปมปัญหา

ในช่วงเวลาที่เกิดพระบัญชานี้ขึ้น ยังเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราช (เราเปลี่ยนมาใช้รัฐธรรมนูญ 2475) มีบุคคลคนหนึ่งที่รู้จักกันทั่วไปว่า นายนรินทร์ กลึง ชื่อเดิมคือ กลึง นามสกุล ภาษิต เป็นบุคคลที่มีความเฉลียวฉลาด ภาษาชาวบ้านต้องเรียกว่า "หัวหมอ"ทีเดียว ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) รับราชการ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นถึงพระพนมสารนรินทร์ ตั้งแต่อายุเพียง 35 จนกระทั่งพระพุทธเจ้าหลวงต้องขอดูตัว ในขณะที่ทำงานเป็นนายอำเภออยู่นั้นมีผลงานที่โดดเด่นคือการปราบโจรลักวัวควายได้ชะงัด จำได้ว่าเมื่อไปสัมมนาครั้งหนึ่ง อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม เคยชี้ให้ดูศาลข้างทางที่พนมสารคามว่าเป็นศาลที่ชาวบ้านสร้างเป็นที่ระลึกให้นรินทร์กลึง ยังปรากฏหลักฐานแม้ทุกวันนี้

ความที่เป็นคนมีหัวก้าวหน้าล้ำยุค นรินทร์กลึงทนอยู่กับระบบราชการไม่ได้ จึงลาออก เป็นนักวิจารณ์มีฝีปากและปลายปากกาที่แหลมคมตัวฉกาจ ถ้ายังมีชีวิตอยู่อาจารย์สุลักษณ์อาจจะไม่ต้องโดดเดี่ยวนัก นรินทร์กลึงวิจารณ์ทั้งสถาบันสงฆ์และสถาบันการเมือง ภาษาที่ใช้ก็ค่อนข้างจะล่อแหลม สร้างศตรูคู่อาฆาตไว้ไม่น้อย

ในสมัย ร.๗ นรินทร์กลึงเห็นว่าประเทศชาติเดือดร้อนเนื่องจากขาดดุลย์ นรินทร์กลึงทำหนังสือถึงพระสังฆราชเสนอแนะให้ท่านบริจาครายได้ส่วนตนเพื่อให้เป็นตัวอย่างอันดีแก่ประชาชน

ในด้านพุทธศาสนา นรินทร์กลึงศึกษาพุทธศาสนามาอย่างดี มีการตั้งชมรมชาวพุทธเพื่อพูดคุยธรรมะและถกปัญหาสังคมที่บ้านของตนเองที่อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จ.นนทบุรี

ในการศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนา เขาไปสะดุดกับความจริงในเรื่องพุทธบริษัท ที่ประเทศไทยยังขาดภิกษุณีสงฆ์ จึงสนับสนุนให้มีการบวชภิกษุณีขึ้น

ลูกสาว 2 คนของนรินทร์กลึง คือ คุณสาระ และ จงดี ออกบวชเป็นสามเณรี และเมื่ออายุครบบวช คุณสาระ ผู้พี่ได้บวชเป็นภิกษุณี และอย่างน้อยมีสามเณรีและภิกษุณีอื่นอีก ๖ รูป ตามรูปถ่ายที่ปรากฏ และผู้เขียนได้เห็นในหน้าปกหนังสือสมัยนั้น

ปัญหาการบวชของคุณสาระ และจงดี คือปิดบังไม่เปิดเผยอุปัชฌาย์ คุณจงดีเมื่อออกโทรทัศน์ รายการ "ย้อนรอย" ใน พ.ศ.2546 ก็ยังยืนยันว่า "พ่อห้ามไม่ให้พูด" เข้าใจว่าเป็นการกระทำด้วยความเมตตาไม่ต้องการให้พระภิกษุที่บวชให้เดือดร้อน แต่การที่จะทำเรื่องที่สังคมยังไม่เข้าใจ ยังไม่ยอมรับ โดยปิดบังความจริง ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยิ่งทำให้เป็นประเด็นปัญหาที่ยากแก่การตรวจสอบและยอมรับ

มาในช่วง ร.๗ นรินทร์กลึง มักมีหนังสือขึ้นไปกราบทูลร้องเรียนด้วยเรื่องไม่ชอบมาพากลต่างๆ ดูเหมือนว่า พระเจ้าอยู่หัวเองก็ไม่ทรงโปรดนัก แต่เกรงพระทัยในความฉลาดปราดเปรื่อง และความเป็นศรีธนญชัยของนรินทร์กลึง เคยมีพระราชสาสน์เตือนข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า จะทำการสิ่งใดอย่าให้นรินทร์กลึง "หัวเราะเยาะ" เอาได้

เมื่อนรินทร์กลึงทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อทางราชการทั้งทางการเมืองและการศาสนา โดยวิธีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงไม่ไว้หน้าคนเช่นนี้ นรินทร์กลึงเองถูกจองจำหลายครั้ง ลูกสาวที่บวชภิกษุณีก็ต้องถูกจำกุมคุมขัง และท้ายที่สุดถูกเปลื้องจีวร ฯลฯ

และในท้ายที่สุด กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชในขณะนั้น ได้มีพระบัญชา "ห้ามมิให้พระภิกษุไทยบวชสตรีเป็นภิกษุณี สิกขมานา หรือสามเณรี" ลงนามวันที่ 18 มิถุนายน 2471



โปรดสังเกตว่าคำสั่งนี้ สั่งเฉพาะพระภิกษุที่ถือสัญชาติไทย แน่นอนที่สุดพระภิกษุสัญชาติอื่น สมเด็จพระสังฆราชก็ไม่มีสิทธิ ไม่มีอำนาจไปห้ามเขาได้

และคำสั่งนี้ ไม่ได้ ห้ามผู้หญิงไม่ให้บวชเป็นสามเณรี และภิกษุณี ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือสั่งไม่ได้ เพราะสตรีไทยมิได้สังกัดอยู่กับพระสังฆราช โดยนัยยะทางกฎหมาย

เมื่อ สามเณรีธัมมนันทา บรรพชากลีบมาจากศรีลังกาใน พ.ศ.2544 จึงเป็นมูลความของการหยิบยกพระบัญชามากล่าวขวัญถึงกันอีกครั้ง

ดร.วิษณุ เครืองาม ใช้เวลา 50 นาที ในรัฐสภาตอบกระทู้ของ ส.ว.ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 อธิบายว่า การกระทำของสามเณรีธัมมนันทาไม่ผิดกฎหมาย โดยได้รับความคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 38 ที่ว่า

"บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนปฏิบัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรม ตามความเชื่อถือของตน เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่พลเมือง และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ในการใช้เสรีภาพดังกล่าวตามวรรค 1 บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆ อันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้ เพราะเหตุที่ถือศาสนา นิกายของศาสนา ลัทธินิยมในทางศาสนา หรือปฏิบัติตามศาสนบัญญัติ หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อถือแตกต่างจากบุคคลอื่น"

นั่นก็คือ กฎหมายให้ความคุ้มครองสามเณรีธัมมนันทา แต่ประเด็นที่ ดร.วิษณุ พลาดก็คือ ที่ตอบว่า เรื่องการยอมรับหรือไม่ยอมรับเป็นเรื่องของคณะสงฆ์

ที่ว่าพลาดนั้น เพราะ ดร.วิษณุ ไม่ได้อ่านพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ที่ระบุไว้ในบรรทัดแรกเลยว่า คณะสงฆ์ หมายถึง ภิกษุสงฆ์

ในเมื่อคณะสงฆ์ยึดถือ และตีความหน้าที่ของตนว่าดูแลเฉพาะ ภิกษุสงฆ์ เมื่อมีเรื่องภิกษุณีสงฆ์เข้ามา คณะสงฆ์จะออกความเห็นไม่ได้ เพราะอยู่นอกขอบเขตพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

เมื่อพึ่งคณะสงฆ์ไทยไม่ได้ ก็ต้องย้อนไปดูพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์

พระไตรปิฎกฉบับที่จัดพิมพ์โดยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปรากฏในเล่มที่ 7 พระวินัยปิฎก จุลลวรรค ภิกขุนีขันธกะ (น.211) พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายบวชภิกษุณี"

เมื่อตรวจสอบกับพระธรรมวินัยแล้วจะเห็นว่า พระบัญชา ของพระสังฆราช 2471 เป็นคำสั่งที่สวนทางกับพุทธานุญาต และถ้าพิจารณาจากฎหมายมาตรา 38 พระบัญชานี้ก็ขัดกันอีก เพราะเป็นการรอนสิทธิของพระภิกษุที่จะปฏิบัติตามพระพุทธานุญาตที่จะบวชให้สตรี

พิจารณาต่อไปอีกในมาตรา 6 ที่ระบุว่า

"รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใด ของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้"

เมื่อพิจารณาลงไปให้ชัดเจนเช่นนี้ จะเห็นว่าพระบัญชานี้ ไม่ถูกต้องทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ ขัดทั้งกับพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า และขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ

อีกประเด็นหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาร่วมด้วย คือความเป็นเถรวาท ที่หลายคนในประเทศไทยมักอ้างเสมอว่าเราเป็นเถรวาท เพราะฉะนั้น จะไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง

การเกิดขึ้นของเถรวาทนั้น สืบเนื่องมาจากการประชุมปฐมสังคายนา คณะสงฆ์พิจารณาเห็นพ้องกันว่า จะคงไว้ซึ่งของเดิม โดยไม่มีการเพิกถอนหรือเพิ่มเติม

ถ้าถือเช่นนี้จริง พระบัญชานี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว เพราะเป็นการเพิ่มเติมขึ้นจากของเดิม



ด้วยความเคารพต่อสมเด็จพระสังฆราช กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ พระองค์ทรงมีพระบัญชาเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อจัดการกับนรินทร์กลึงที่ให้พระภิกษุบวชลูกสาวเป็นสามเณรีและภิกษุณี อาจจะไม่ครบองค์สงฆ์ ฯลฯ ดังนั้น เมื่อพิจารณาว่าเป็นคำสั่งเฉพาะกรณีเช่นนี้ คณะสงฆ์ในปัจจุบัน หากจะช่วยกันรักษาเกียรติของพระองค์ท่าน คงควรจะให้เป็นพระบัญชาที่มีผลบังคับใช้เมื่อ พ.ศ.2471 (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์) มากกว่าที่จะยืนยันให้มีผลบังคับใช้มาจนถึง พ.ศ.2574 เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้ว

มีบางคนนิยมอ้างว่า จะเอากฏหมายรัฐธรรมนูญมาเป็นใหญ่เหนือพระธรรมวินัยไม่ได้

เราคงต้องไม่ลืมว่าพระสงฆ์ทุกรูป ก็เป็นประชาชนชาวไทย ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ก็อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 6 ที่อ้างไว้แต่ต้นแล้ว

สำหรับประเด็นเรื่องนักบวชสตรีนั้น (ไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ) ควรจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย แต่ไม่ใช่คณะสงฆ์ เพราะพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ในประเทศไทยปิดประตูไว้แต่แรกว่าจะดูแลเฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น

นี่เป็นประเด็นกฎหมายเล็กๆ ที่คงไม่ทำให้ ดร.วิษณุเข้าโรงพยาบาลอีก


หน้า 28
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0416250647&srcday=2004/06/25&search=no
ขึ้นไปข้างบน
เรียงลำดับข้อความตอบจากก่อนหน้า:   
สร้างหัวข้อใหม่   ตอบ    กระดานข่าวเสขิยธรรม -> กระแสธรรม ปรับเวลา GMT - 5 ชั่วโมง
หน้า 1 จาก 1

 
ไปที่:  
คุณสามารถสร้างหัวข้อใหม่ได้
คุณสามารถพิมพ์ตอบได้
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์หรือภาพประกอบในกระดานนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์จากกระดานนี้



เสขิยธรรม

Powered by phpBB 2.0.10 © 2001, 2002 phpBB Group