เสขิยธรรม
จดหมายข่าวเสขิยธรรม
-
หน้าแรก | สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน | แผนผังไซต์

เสขิยธรรม ฉบับที่ ๖๒
ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๔๗

ชีวิตแห่งการภาวนา
วดีลดา เพียงศิริ

เปราะและบาง

 

ตามที่ฉันได้เสนอเกี่ยวกับเรื่องการ “โสน้าหน้า” ตัวเองไปในฉบับที่แล้ว มาฉบับนี้ขอย้อนศรสักเล็กน้อยนะคะ

          หลังจากมุมปากฉันชา และเพื่อนสนิทชี้ทางสว่างว่า ‘เธอน่ะไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอก อย่าปรุงแต่งเรียกร้องความสนใจไปเลย ก็เธอชอบพูดจาไม่ดีเสียดสีเป็นประจำ แค่มีสติเวลาจะพูดจะจา อาการชาที่ปากคงจะหายเป็นปลิดทิ้ง’ แต่ฉันเชิดหน้าหยิ่ง พาตนเองไปเสียเงินทำ MRI หนึ่งหมื่นบาท ประสาผู้มีรายได้ต่ำ แต่ความกลัวสูง จนได้ผลออกมาว่า เส้นประสาทคู่ที่ ๕ อักเสบ ขอเน้นว่าผลตรวจจากเครื่องสุดโก้ที่เจ๋งสุดใน ๑๗ จังหวัดภาคเหนือนี้ รายงานผลออกมาตรงกันเปี๊ยบกับที่หมอจีนแมะให้แถวถนนราชมรรคา เชียงใหม่นี่เอง

          หมอแมะหรือหมอจีนให้ฉันทานยาบำรุงปลายประสาทและฝังเข็มให้ แต่โดยนิสัยชอบเอาชนะคะคานและใจร้อน ทำให้ฉันพุ่งไปหาหมอสมัยใหม่ เพื่อจะได้ยินประโยคที่ว่า “คุณอยากจะทานยาสักชุดแล้วให้มันหายขาดไปเลยไหมครับ”

          โอ้โห อะไรจะเข้าทางได้ถึงเพียงนี้

          มีหรือคนที่ชอบห้ำหั่นให้รู้แล้วรู้รอดมาตลอดชีวิตเยี่ยงฉันจะไม่รีบพยักหน้า

          แต่ด้วยนิสัย “ครู” จึงชอบอธิบาย “แต่หมอคะ ดิฉันชอบแพ้ยานะคะ ดิฉันแพ้พวกเพนนิซิลลิน เพนนิซิลโลน (สเตียรอยด์) แล้วก็ปี ๔๖ ทั้งปีดิฉันไม่ได้ กินยาอะไรเลยตลอดปี นอกจากขมิ้นชัน” ประโยคหลังนี่โม้ประกบเข้าไปค่ะ เคยไหมคะที่บางที เราไม่เห็นต้องพูดบางอย่างให้คนอื่นเขารู้เลย แต่เราเผลอพูด เพราะไอ้อาการอยากอวดน่ะมันผุดขึ้นมาเหมือนเด็กไฮเปอร์คุมตัวเองไม่ค่อยอยู่

          หมอยิ้ม “อ๋อ หมอให้ตัวอื่น” พลางพูดชื่อยาวๆ ภาษาอังกฤษแบบหมอที่ตกเย็นมาทำคลินิก และหน่ายเหลือเกินกับคนไข้สองประเภท นั่นคือ หนึ่งชาวบ๊านชาวบ้าน สองมีญาติเป็นดีเทลยา คือรู้มากน่ารำคาญ ที่พูดชื่อยาวหรือภาษาอังกฤษอื่นๆ เพื่อให้คนไข้ “อย่าถาม ขี้เกียจอธิบาย”

          ฉันเองตามปรกติช่างซัก ราวกับสรยุทธ์มาเอง แต่คราวนี้ตายน้ำตื้น ไม่ได้ถามหมอสักคำว่า ไอ้ชื่อยาวๆ ที่จนบัดนี้ก็ยังจำไม่ได้นั้นคือ สเตียรอยด์หรือไม่

          หมอให้ทานยาถุงโตๆ ๒ อาทิตย์

          ความรู้สึกลำพองที่กำถุงยาออกจากร้าน คงเหมือนชาวอเมริกันทั่วไป เวลาเข้าไปซื้อปืนตามร้านแล้วหมายมั่นว่า ต่อนี้ไปแม่จะเป่าให้ดิ้นเชียว ด้วยเชื่อมั่นในอาวุธทรงประสิทธิภาพในมือ

 

เริ่มทานตั้งแต่ในรถเลยค่ะ กลัวชักช้าไม่ทันการณ์

          แค่สามวันเท่านั้น อาการแพ้ยาเต็มคราบก็บังเกิด ใบหน้าบวมเป่งชนิดที่เรียกกันอย่างไม่ตื่นเต้นว่า มูนเฟซ แปลเป็นไทยว่า ใบหน้าทรงขนมไหว้พระจันทร์ อาการมุมปากชาหายเป็นปลิดทิ้ง ก็จะไม่หายชาได้อย่างไร ในเมื่อหน้าทั้งหน้ายังไม่รู้เลยว่าเป็นหน้าของฉัน ด้วยมันบวมชาไปหมด, แถมขยันคึกคะนอง ตื่นขึ้นมาตีหนึ่ง, ตีสอง สมองใสปิ๊งอย่างกับกลางวัน ที่น่ากลัวคือ ใจสั่น มือสั่น จับอะไรหกตกหล่นไปหมด

          แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ยั่นค่ะ แอบลดยาเองนิดหน่อย แต่ยังกินต่อไป ก็คนมันอยากหายเร็วๆ นี่คะ

          พอครบ ๘ วัน (ความรู้สึกช้าจัง!) คำพูดที่ว่า “พ่อคิดว่าลูกพ่อฉลาดแต่ไม่เฉลียว” ที่พ่อเคยพูดไว้เมื่อตอนอยู่ ป.๒ ก็แล่นเข้ามาในหัว เฮ้ย....ย..... นี่มันอาการของคนแพ้ยานี่นา

          ฉันรีบโทษยาจ้าละหวั่นทันทีที่คิดเรื่องนี้ได้ เพราะนอกจากอาการข้างต้น อาการที่น่ากลัวกว่า คือ การบันดาลโทสะ กราดเกรี้ยว ควบคุมไม่อยู่ หากคุณชอบปฏิบัติธรรม จะมีอะไรชวนให้เสียหน้าเท่ากับการที่ลูก–สามีรำพึงว่า “ทำไมขี้โมโหยิ่งกว่าตอนไม่ปฏิบัติก็ไม่รู้เนอะ!”

 

เย็นนั้น ฉันแทบจะรอเวลาเย็นที่หมอสมัยใหม่เปิดคลินิกไม่ไหว ขับรถไปหาหมอชนิดตัวก็สั่น ใจก็สั่นชนิดถอยรถชนหน้าชนหลัง แต่เมื่อนั่งตรงหน้าหมอที่ทรงคุณวุฒิ สงบ หวังดี และเยือกเย็น ฉันก็กลายเป็นเด็ก ป.๒ จ๋อยสนิท

          “หมอเห็นคุณบอกว่าแพ้ยานั่นยานี่ หมอเลยให้สเตรอยด์แค่ ๒ อาทิตย์ อาการ “ชา” อย่างคุณถ้าเป็นคนอื่นหมอจะให้ยา ๖ อาทิตย์ต่อเนื่องกัน”

          เอาซี่ เถียงซี่ ต่อว่าซี่ ทำไมเงียบล่ะ ไหนว่าญาติสรยุทธ์

          ฉันปล่อยให้หมอเล่าประโยชน์ของยาชนิดนี้ และความคล่องแคล่วในการใช้กับคนไข้อย่างได้ผลดีเยี่ยมไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ว่า อาการฉี่ผิดปรกติ กลั้นอยู่บ้างไม่อยู่บ้างของตัวเองก็เป็นผลข้างเคียงของยานี้

          “คุณทราบใช่ไหมว่า ยานี้หยุดทันทีไม่ได้ ต้องค่อยๆ ถอน”

          คืนนั้นฉันจึงได้รับประสบการณ์อันเข้มข้นที่หมออธิบายว่า เหมือนคนเลิกยาแบบหักดิบน่ะคุณ ประมาณตีสองกว่าๆ มีแต่ฉันเท่านั้นที่นอนเป็นพยานให้กับหัวใจที่เต้นเตลิดแบบควบคุมไม่ได้ ในเสี้ยววินาทีนั้น ฉันเข้าใจแล้วว่า ใจที่ ‘จะขาด’ และผู้เฝ้ามอง ใจที่จะขาดแหล่มิขาดแหล่นั้นเป็นเยี่ยงไร

 

เช้านั้นเพื่อนผู้เชี่ยวชาญการรักษาแบบองค์รวม แนะให้ฉันทำดีท็อกซ์หลังสมน้ำหน้าที่ฉันไม่ละเอียดรอบคอบไม่รู้จักถาม หมอให้กินยาอะไรก็กินเข้าไปเป็นกำๆ จนหนำใจ แต่เช้านั้นฉันกำลังถอนสเตียรอยด์ จาก ๖๐ มิลลิกรัม เหลือเพียง๑๐ มิลลิกรัม ขณะที่ต้มน้ำกาแฟนั้นเอง ฉันก็เบลอ อยากให้น้ำกาแฟเย็นเร็วๆ จะได้นำไปสวนเร็วๆ และพิษของยาที่ตกค้างในไส้ในตับจะได้ออกไปเร็วๆ ฉันจึงนำกาแฟไปกรองใส่โถแก้วที่ไม่ได้ทนความร้อนอะไร

          วาดภาพนะคะ ฉันยืนอยู่ตรงซิงค์ล้างจานมือซ้ายถือกระชอนกรองกากกาแฟ มือขวาถือหม้อกาแฟหนัก ๑,๒๐๐ มิลลิลิตร พอเทกาแฟลงไปยังเหยือกแก้วจนเต็มมันก็ระเบิดเปรี้ยงใส่ขาของฉันทันที

          ความปวดแสบปวดร้อน ณ ขณะนั้นเหลือจะบรรยาย รู้แต่พอจะเดาออกว่ากระทะทองแดงองศาประมาณไหน

          ฉันกรีดร้อง แล้วตะโกนบอกสามีซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลให้หยิบยา “เกียบ่วงอั๊ง” พระเอกประจำห้องครัวเวลาถูกน้ำมันกระเด็นใส่ให้หน่อย เขาทำหน้าเซ็งขณะส่งยาให้ คงนึกว่าแก้วแตก และเพราะรู้นิสัยว่า ฉันมักโวยวายเกินจริงเสมอ แถมหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันร้ายและแรงใส่เขาตลอด

          ฉันรีบเอายาละเลงลงไปจนหมด ๒ กระปุก และอีกสองชั่วโมงให้หลัง สามีก็รู้สึกที่ทำท่ารำคาญเมื่อเห็นว่า ฉันถูกน้ำร้อนลวกรุนแรงแค่ไหน ความยาวของมันคือ หนึ่งฟุตครึ่ง เริ่มจากขาอ่อนซึ่งจริงๆ เป็นขาแก่ ลงไปจรดใต้หัวเข่า ความกว้างนั้น เท่ากับหนึ่งคืบเหนือจรดใต้

          หากใครมาเห็นว่า ฉันรอดมาได้อย่างไร คงจะจดชื่อยาและหาซื้อจากเยาวราชมาไว้ประจำบ้าน ขนาดแม่บ้านฉันมาเห็นแผลที่ละเลงยานี้ไว้ เธอร้องไห้และนอนไม่หลับ เพราะทราบดีว่า คนถูกน้ำร้อนลวกจะทุกข์ทรมานปวดแสบปวดร้อนเพียงไร แต่ปรากฏว่า นับจากละเลงยานี้ลงไปแล้ว ไม่มีอาการปวดแสบปวดร้อนตามมาอีกเลยแม้แต่นิดเดียว

          “ฉันว่าเพราะแต่เดิมเธอเป็นคนแสบอยู่แล้ว เลยมีภูมิต้านทาน เหมือนมีวัคซินไง” ยายหน่อยเพื่อนสนิทเล่นมุข ขณะเดียวกันก็ทำหน้าหยะแหยงขณะที่มองไปที่แผล “นี่ตกลงที่เธอตะลุยกินยาเข้าไปเป็นกำๆ ปากก็ไม่หายชา ขาก็ดันมาเฟะ ใช่ไหมเนี่ย”

          “นี่จะมาเยี่ยมหรือมาซ้ำเติมมิทราบ”

          วันที่หน่อยมาเยี่ยม เป็นวันที่ ผิวหนังฉันพุพองถึงที่สุด นั่นคือ ก้อนน้ำที่ใหญ่ที่สุดโตเท่าไข่ไก่ ดังนั้นคำว่าเฟะของเธอจึงไม่ไกลเกินจริง ซึ่งถ้าไม่ใช่หน่อย แม่บ้านฉันไม่มีวันเปิดให้เข้า ด้วยช่วงเวลานั้น ลูกและสามีเรียกฉันว่า ชีล่า หรือเจ้าป่าหญิง ด้วยฉันนุ่งอะไรไม่ได้จึงใส่เสื้อยืดกับกกน. เดินบ้าง คลานบ้าง หรือช่วงที่พุพองจัดๆ หัวเข่าจะตึงจนคลานไม่ได้ ต้องไปทางขวาง จนฉันตั้งฉายาให้ตัวเองว่าสมีกอลล์ที่อยู่ในเรื่อง ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง อยู่ภายในบ้านอย่างคล่องแคล่ว

 

ในช่วง ๒๑ วันนี้เองที่ฉันได้อยู่กับตัวเองมากที่สุด น้อมรับความช่วยเหลือจากลูกและสามีมากที่สุด โลกของฉันมีแค่หนังสือที่เพื่อนส่งส่วยที่มันส์ที่สุดเห็นจะเป็นรหัสลับดาวินชี่ และดูหนังห่วยบ้าง สูตรฮอลลีวู้ดเต็มๆ บ้างจากยูบีซีของท่านนายก ทว่าโลกที่น่าสนใจจริงๆ และแสนจะเป็นคุณูปการของฉันนั้นคือ ขาที่ถูกน้ำร้อนลวก

          ฉันมีโอกาสได้ชี้ให้ลูกๆ ดูว่า แค่ขาดสติแค่เสี้ยววินาที แต่ผลที่ตามมามันมากมายถึงขนาดนี้

          ฉันได้ชี้ให้ตัวเองดูถึงความเปลี่ยนแปลงในทุกเช้า ตั้งแต่หนังพอง พองกว่า พองพองที่สุด จนถึงน้ำค่อยๆ ซึมออกจากรูรั่ว (มีผู้แนะนำให้เอาหนามมะนาวเจาะ แต่ฉันไม่ได้ทำ งานนี้ฉันลาออกจากตำแหน่ง ‘ผู้จัดการ’ มาเป็น ‘ยาม’ นั่งดูนั่งเฝ้าเฉยๆ) เมื่อน้ำซึมหมด สิ่งที่ตามมาคือโรงงานหมูแผ่น เพราะแผลกว้างขนาดนั้นค่อยๆ ตกสะเก็ดทีละนิดๆ พาลให้ทั้งเลิกกินหมูแผ่นมาจนบัดนี้เลยล่ะค่ะ

          แล้วเช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฉันเริ่มเหนื่อยหน่าย เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีบทบาท ความสำคัญตัวเองเริ่มลด พ่อๆ ลูกๆ เขาคุยกันเรื่องไปซื้อของนอกบ้าน ในขณะที่ฉันนอนแบ่บ หรือคลานไปคลานมาในบ้านด้วยชุดชีล่าเจ้าป่าหญิง ฉันเริ่มอิจฉาพวกเขา และตระหนักว่า ความไม่มีโรคและความแข็งแรงไม่เฉพาะเป็นลาภอันประเสริฐหรอก ทว่าเป็นที่มาของ “อำนาจ” อีกด้วย

          อ๋อ... นี่เอง อาการแทรกซ้อนของโรค เพราะบัดนี้ฉันเกิดโรคอย่างใหม่ขึ้นแล้ว นั่นคือ โรคกลัวตัวเองไม่มีความสำคัญ ก็โธ่.... ฉันเคยกุมอำนาจขนาดไหน ลูกและสามีล้วนต้องมาเบิกเงินกับฉันทั้งนั้น แต่นี่ขั้วอำนาจกำลังจะเปลี่ยนหรือเปลี่ยนไปแล้วด้วยซ้ำ เอทีเอ็ม ตกอยู่ในมือสามี และเรื่องต่างๆ ตลอด ๒๑ วันที่เขาสังสรรค์กัน หนังที่พวกเขาเพิ่งไปดู ฉันไม่มีส่วนร่วมด้วยทั้งนั้น นี่แค่ ๒๑ วันเท่านั้นนะ ฉันนึกถึงคนที่ป่วยนานๆ ก็ขนาดนี้ ฉันยังนอนเห็นความเลือนหายตายจากของตัวเองจากความเป็นแม่ จากความเป็นเมีย จากความเป็นครูใหญ่ จากความเป็นคนเขียนหนังสือ บัดนี้ ฉันไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น นอกจากอดีตนักจัดการตัวยงที่ต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลา

          เคราะห์ดี ที่ยังมีเจ้าหมูติ๊ง หมาพันธุ์เชาๆ ที่นอนเขลงอยู่หน้าประตุมุ้งลวดเป็นเพื่อนทุกค่ำเช้า แล้วเช้าวันหนึ่ง ฉันก็มองหมูติ๊ง แล้วตกใจเมื่อรับรู้ว่าตัวเองเปราะบางแค่ไหน ดูเถอะ ถูกน้ำร้อนลวกโครมเดียวเละไปทั้งขา แต่หมาน่ะ เขามีขนไว้ป้องกัน กว่าพวกเขาจะเป็นขี้เรื้อนเขาต้องถูกน้ำร้อนลวกตั้งหลายต่อหลายหน เมื่อพูดเรื่องนี้กับสามีเขาว่า “เอ้า...คนเรามันเปราะบาง เขาถึงให้มีเครื่องป้องกันมา ‘สมอง’ นั่นไง” ตอนนั้นฉันไม่ได้นึกเถียง มานึกตอนนี้ว่า ไม่ใช่สมองหรอก ‘สติ’ ต่างหาก

          ความรู้สึกครั้งแรกในชีวิต ว่าตัวเองด้อยกว่าหมานี้ ติดตรึงใจฉันมาจนบัดนี้

          ตอนนี้ขาเฟะหายแล้วค่ะ ทั้งหมดกลายเป็นสีชมพูเหมือนผิวลูกหนูเกิดใหม่เปี๊ยบ ส่วนอาการชาที่ปากก็ค่อยๆ หายไปเพราะฉันกลับมากินยาจีน แบบหายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะตอนมันเป็นมันก็คงค่อยๆ เป็นค่อยๆ เสื่อม ตอนหายจึงต้องทำใจว่า มันจะค่อยๆ หาย

          แถมได้สนุกกับการ– –เห็น “ใจ” – – ตัวเอง ไม่ใช่หมกมุ่นเพื่อจะ– – “เห็นใจ” ตัวเอง แบบก้มหน้าก้มตาสงสารตัวเองอย่างที่ผ่านๆ มา

          การเห็นเข้าไปใน ‘ใจ’ ทำให้รื่นรมย์กับคำปลอบของเพื่อนๆ อย่างเช่น ต๊าย....เหยือกแก้วระเบิด ต๊าย....น้ำ ๑,๒๐๐ มิลลิลิตร แต่เธอโชคดีจังที่แก้วมันจะแตกแล้วก็บาดเธอ หรือมุขทะลึ่ง

          อย่างเช่น เฮ้ย...ย... ไม่โดนจุดยุทธศาสตร์ก็บุญแค่ไหนแล้ว หรือที่หมอผิวหนัง (สมัยใหม่) ผู้นิยมสมุนไพรจีน (บางชนิด) บอกว่า ต๊าย... แผลสวยจัง โชคดีที่คุณมียาจีนอยู่ใกล้ตัว รู้มั้ย ไม่งั้นถ้าคุณมาโรงพยาบาล เขาต้องเอาหนังตรงอื่นมาแปะ แล้วต้องกักคุณไว้กันการติดเชื้อ โอ๊ย... แผลใหญ่ขนาดนี้ อยู่โรงพยาบาลหลายเดือนแน่ๆ

          หรือมองเห็นใจตัวเองสั่นไม่เป็นท่า เมื่อมีคนรู้จักบางคนโทรฯ มาแหย่ว่า

          “สงสารจัง เสียโฉมเลยนะคราวนี้” หรือ “ได้ข่าวว่าเธออยากทำเบบี้เฟซ แต่แทนที่จะทำที่หน้า ดันไปทำที่ขา ตอนนี้ขาเลยกลายเป็นสีชมพูแจ๊ดเลยใช่ไหม” ว่าแล้วก็หัวร่อกิ๊กแบบขำเหลือเกิน

          ฉันนึกถึงภาษิตจีนที่ว่า อย่าหัวเราะเยาะชะตากรรมของผู้อื่น เพราะของตัวน่ะ ดักรออยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป บอกแล้วว่า ป่วยคราวนี้ ฉันเลิกเห็นอกเห็นใจตัวเองไปเยอะ แต่กลับมาเห็นเข้าไปในใจด้วยความสนุกสนาน ดูเถอะ เพื่อนปลอบ ใจงี้ เย็น เพื่อนเย้ยหยันหรือ ร้อนเหงื่อชุ่มใจทีเดียว

          ได้ลาออกจาก ผู้จัดการ มาเป็นยามเฝ้าใจตั้ง ๒๑ วัน มีหรือจะกลับไปรับผิดชอบงานหนักขนาดนั้นอีก เฝ้ามองอย่างสนุกสนานอย่างนี้ดีกว่าเยอะเลยค่ะ....

หน้าแรก | กลุ่มเสขิยธรรม | ความเคลื่อนไหว | ประเด็นร้อน | ศาสนธรรมกับชีวิตและสังคม
นักบวชกับสังคมร่วมสมัย |> จดหมายข่าวเสขิยธรรม | รวมเว็บน่าสนใจ | แผนผังไซต์
เสขิยธรรม https://skyd.org
สมุดเยี่ยม | แนะนำหน้านี้ให้เพื่อน

กลุ่มเสขิยธรรม ๑๒๔ ซอยวัดนพคุณ ถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐
โทร. ๐๒-๘๖๓๑๑๑๘, ๐๖-๗๕๗๕๑๕๖ โทรสาร ๐๒-๔๓๗๙๔๔๕
... e-mail :