นนอนเล่นอยู่ริมแม่น้ำปาย น้ำกำลังไหลคลั่ก ๆ เหมือน กองกำลัง ท่าทางลุกลี้ลุกลนกองหนึ่ง เคลื่อนพลอยู่ใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีเหน็ดมีเหนื่อย
สีของแม่น้ำเป็นสีส้มอมน้ำตาลสวยเหลือเกิน ใครได้ไปนอนทอดหุ่ยอยู่ริมน้ำปาย มีผืนนาเขียวสว่าง สะท้อนแดดยามบ่ายพราว อยู่ตรงหน้า คงทราบดีว่า ใจคนเรามัน เปิด ได้มากเพียงไร
และเป็นเรื่องชอบธรรมเสียเหลือเกิน ในเมื่อสามีและลูกสาวได้ซื้อตั๋วรถไฟมุ่งหน้าไปกรุงเทพฯ เพื่อดูคอนเสิร์ตวงสกอร์เปี้ยนเมื่อวานนี้ แถมเจ้าลูกชายก็ยินดีเหลือแสนที่จะไปค้างบ้านญาติ ที่มีลูกชายตัวเท่ากัน
แล้วทำไมฉันจะเอาความเป็นแม่ ความเป็นภรรยา และความเป็นครูใหญ่ แขวนไว้ข้างฝา แล้วเป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่ง ชวนเพื่อนผู้หญิงขับรถมานอนกลิ้งไปกลิ้งมา มองน้ำสีสวยเหลือใจไม่ได้เล่า
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ยามอารมณ์ต้องการความช่วยเหลือ ให้นึกชมคนที่คิดค้นเจ้าเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ แต่ยามที่ธรรมชาติ อุตส่าห์อ้าแขนรับเราเป็นส่วนหนึ่งของเขาแบบนี้ ฉันได้แต่มองมันแล้วรู้สึกรังเกียจ แต่คนหนีงานหนีการมา จะปิด ทือหมือ หรือ มือถือ เสียสนิทก็ใช่ที่
ยิ้ม ๑ ครั้ง (ตามคำแนะนำของท่าน นัท ฮันท์) แล้วกรอก คำว่า Hello คำเดียวในโลกที่ผู้คนทุกชาติทุกภาษาใช้กันอย่างนวลเนียน
เสียงผู้จัดการโรงเรียนระล่ำระลัก น้ำท่วมโรงเรียนค่ะ
ฉันว่าราชการไปตามขั้นตอน ดวงตามองท้องฟ้าไป ฟ้ากว้างจัง
เมฆสวยเหลือใจ ก่อนวางหูได้กำชับว่า ปิดห้องเรียนให้สนิทนะ ช่วงนี้สัตว์เค้าหนีน้ำ
จากนั้นฉันก็นอนเขลงลงอย่างเก่า ด้วยไม่เคยลืมที่แม่ชีท่านหนึ่งเทศน์ คนเราชอบ วางแผน แล้วก็ ถือแผน ไปตามที่ต่าง ๆ "ไม่เคยวางลงเลย
เพื่อนที่มาด้วยถามถึง โรงเรียนด้วยความห่วงใย ยิ่งมองน้ำในแม่น้ำที่ไหลอย่าง เอาเรื่อง ก็ยิ่งใจไม่ดี
แต่ฉันกลับตอบว่า ไม่เป็นไร ถ้าฉันตายไปตรงนี้ เขาก็ดูแลของเขาต่อไปได้ และฉันรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ
สักครู่ผู้จัดการคนเดิมก็ส่งเสียงใสเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ฉันต้องจึ๊ ๔ ครั้ง ถอนหายใจ ๖ ครั้ง และจำใจยิ้มอีก ๒ ครั้ง พี่จ๋า เมื่อกี๊หนูโกหกพระ ไม่กล้าบอกไปตรง ๆ ว่า พี่หนีงานไปเที่ยว
หลวงพี่เหรอ ฉันเอ่ยชื่อ บ.ก. หนังสือเล่มนี้ เพราะท่านเป็น พระ องค์เดียวที่ฉันรู้สึกเป็นกัลยาณมิตรที่ใกล้ชิดที่สุด เรียกชนิดเกรงบาปนิด ๆ ว่า ถือเป็น เพื่อน นั่นเทียว
ผู้จัดการบอกว่าไม่ใช่ พร้อมเล่าเรื่องราวว่า พระมหาพีระพงษ์ พลวีโร ได้เชิญให้ฉันไปเป็นวิทยากรถวายความรู้ ให้แก่พระนิสิตของมหาจุฬาฯ ในงานเสวนาทางวิชาการเรื่อง พระพุทธศาสนากับการปฏิรูปการศึกษาไทย
พี่เอ๊ย
. พี่ไม่รอดแน่ ท่านลงท้ายว่า หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคงจักได้รับความเมตตานุเคราะห์จากท่านอาจารย์เป็นอย่างดี พร้อมอนุโมทนาในกุศลจิตอันดีมา ณ โอกาสนี้ด้วย
ทั้งฉันและน้องถอนหายใจแล้วหัวเราะพร้อมกัน แต่ฉันต้องหยุดหัวเราะโดยพลันเมื่อทราบว่า ฉันจะต้องไปพูดพร้อมวิทยากร ๒ ท่าน นั่นคือ อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก และ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์
ฉันจะไปนั่งอยู่ข้าง ๆ คน ๒ คนที่ฉันยกขึ้นหิ้งได้อย่างไร
ขอบคุณเครื่องมือสื่อสารจริง ๆ ที่นำความวิตกกังวลมาประเคนจนถึงริมแม่น้ำอำเภอปาย
กลับมาจากเที่ยว ฉันคิดตลอดเวลาว่าจะ เบี้ยว พระมหาพีระพงษ์อย่างไรจึงจะบาปน้อยที่สุด เพราะในจดหมายเชิญก็เห็น ๆ กัน อยู่ว่าบุญกำลังจะหล่นลงมาทับอยู่รอมร่อ ไหงจะปล่อยให้หลุดมือไป
ซึ่งจะว่าไปขณะยังไม่ได้พูด ก็บาปแล้ว เพราะฉันนึกโทษหลวงพี่ บ.ก. ตลอดเวลา ว่าท่านต้องเป็นผู้เสนอชื่อฉัน ให้พระมหาพีระพงษ์แน่ ๆ ที่แท้ ท่านไม่ทราบเรื่องเลย คงจะทราบ ก็ตอนที่อ่านต้นฉบับนี่กระมัง!!
แล้วถ้าไปพูดเข้าจริง ฉันอาจจะบาปหนักเข้าไปอีกหลายกระทง เพราะชอบพูดจาส่อเสียดอยู่เป็นนิจ เดี๋ยวเผลอไปด่า ไปวิจารณ์ อะไร ๆ ที่เขาห้ามแตะต้องเข้า มิถูกจำคุก ๑ ปี ก่อนกฎหมายออกมาหรือ?
ที่แน่ ๆ ขณะยังไม่ได้พูด ก็บาปแล้ว เพราะฉันนึกโทษหลวงพี่ บ.ก. ว่าท่านต้องเป็นผู้เสนอชื่อฉัน ให้พระมหาพีระพงษ์อยู่ตลอดเวลาที่กำลังสุขกายสุขใจอยู่ริมแม่น้ำ ดูเถิด
เรื่องนี้ ข้าน้อยสมควรตาย แท้ ๆ
ฉันกลัดกลุ้มจนสิวปูดออกมา ๓ เม็ดอยู่หลายวัน
ยังไงก็ทำใจไม่ได้เด็ดขาด รู้สึกตัวเองต่ำต้อยอย่างมหากาฬ เมื่อเทียบกับอาจารย์ทั้ง ๒ ท่านนั้น
เอาเถอะ
เอาจดหมายสวย ๆ ของพระมาอ่านใหม่ อ่านวนตรงหัวข้อ แล้วจู่ ๆ ก็หัวเราะก๊าก
หัวเราะจนสามีเดินมาดูว่า เสียจริตไปเพราะความกลัวแล้วหรือไร
เปล่าหรอก พุทธศาสนากับการปฏิรูปการศึกษาไทย
ใครควรจะปฏิรูปก่อนกัน ฮ่า
ฮ่า
มองเห็นวัดร้าง ๆ หยากไย่เกาะ แล้วกวักมือเรียกให้คนเข้ามาจัดงานอะไรสักอย่าง นี่ขนาดยังไม่ได้พูด บาปกำลังหล่นทับเสียแล้ว
แต่แล้ว วินาทีประหลาด วินาทีหนึ่ง ก็ได้บังเกิด สวนฉึ่บขึ้นมา เมื่ออ่านหัวข้อซ้ำ เออ
ดีนี่หว่า เราจะได้เป็นนักเรียนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ เสียที ไม่ต้องเป็นนักเรียนของกระทรวงศึกษาธิการอีกต่อไปแล้ว ไชโย้
พอบอกกับตัวเองได้อย่างนั้น ฉันก็เริ่มใช้สวิงช้อนเจ้าความคิด ประสบการณ์ อารมณ์ความรู้สึกประดามีที่แสนจะกระจัดกระจาย มาเทโครมลงกระป๋อง ก่อนจะนำมาจัดเรียงอย่างสนุกสนาน
เราจะกลัวอะไร นักเรียนของพระพุทธเจ้าจะกลัวอะไร ไอ้ที่กลัวมาตลอดเวลา ก็เพราะเราเติบโตมาจากระบบการศึกษาตามก้นฝรั่ง ซึ่งก็มีทั้งดีและไม่ดี ใครบ้างจะไม่รู้ว่า อักษร I ในภาษาอังกฤษนั้น แม้จะอยู่ส่วนไหนของประโยค แม้แต่ท้ายประโยค มันก็ยังแหวกกฎ โดยคงความเป็น ตัวใหญ่ ไว้อย่างเหนียวแน่น
เราเรียนมาแบบให้ I มันใหญ่โดยไม่รู้ตัว ไม่เท่าทันและไม่เฉลียวใจ มาตลอดชีวิต
เมื่อความกลัวกระเด็นไป ฉันก็ร่างหลักสูตรที่แสนจะเพ้อฝัน และร่างไปก็ไม่รู้จะร่างไปทำไมให้เปลืองพลังงาน เพราะมันไม่มีวันหมุนทวนกลับมาเป็นจริงได้
หัวข้อที่ฉันร่างเอาไว้เพื่อจะพูดโดยย่อ มีดังนี้
๑. นักเรียนของพระพุทธเจ้าไม่ต้องพึ่งพาดินสอหิน กระดานชนวน ปากกา ดินสอหรือแล็บท็อป แต่จะแจก ลิ่มแสงเลเซอร์ (มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น) ให้คนละแท่ง เอาไว้กระเทาะเข้าไปสู่ความเป็นธาตุทั้ง ๔ ของตนเอง
๒. ยิ่งกว่าการศึกษาภาคบังคับ ด้วยมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม เริ่มตั้งแต่ยิ้มเป็น คอแข็ง คลานได้ ต้องได้รับสิทธิ์ที่จะรับรู้ว่า เราเกิดมาเพื่อผลัดชีวิต หรือถ้าพูดให้เด็กตกใจก็คือ เกิดมาถอนสักกายะทิฏฐิ ดังนั้นผู้จัดการศึกษา ก็คือพ่อแม่ คนในครอบครัว ชุมชน พระ ฯลฯ นั่นแล้ว
๓. ดังนั้นคำว่าบรรษัทข้ามชาติถือเป็นคำกระจอกอย่างยิ่ง เพราะนักเรียนจะต้องมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ไปถึงการข้ามชาติข้ามภพ- - โน่น (สามีช่วยคิดอย่างเฮฮาค่ะ)
๔. นักเรียนที่พอฝึกได้ ต้องจับฝึกภาคสนาม นั่นคือฝึกจิต ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ หรือใดใดก็แล้วแต่ แต่จะต้องมีวินาทีประหลาดที่จะได้ ร้องอ๋อ ด้วยตนเอง ทุกผู้ทุกนาม เพราะสภาวะ ที่เกิดขึ้นนั่นแล้ว จะเป็นดิสก์เบรค เป็นที่พึ่งของชีวิตต่อไป
๕. หลักสูตรนี้มีการวัดผลอย่างต่อเนื่อง มีการ test ย่อย สอบ midterm, สอบ final เก็บคะแนนไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย ว่าจะได้เลื่อนชั้น เลื่อนภพเลื่อนภูมิกับเขาหรือไม่
๖. จึงไม่แปลกที่เป้าหมายการสอน จะอยู่ที่การก่อให้เกิด สัมมาทิฏฐิ
๗. การวางนโยบายและจัดสัดส่วนการเรียนการสอน ก็คือ การนำ มรรคมีองค์ ๘ มาเป็นโจทย์
๘. จะจัดกิจกรรมใดใดก็แล้วแต่ นำไปสู่สัมมาสติ สัก ๗๐% สัมมาอาชีวะ สัก ๓๐% (ก็เขาให้มาพูดเรื่อง ปฏิรูปการศึกษาไม่ใช่หรือ)
๙. เล่ากระบวนการเรียนการสอนจากประสบการณ์ของตนเอง เช่นกิจกรรม
ก. เล่นกับไข่ ฉันเอาไข่มาโยนไปโยนมาให้เด็กดู แล้วทำทีเป็นรับไม่ได้ ทำตกแตก เด็ก ๆ มามุงดูเห็นทั้งไข่ขาว ไข่แดง และเปลือกไข่ปรากฏ แท้จริงฉันสอนเรื่อง ความไม่เที่ยงของรูป แต่ไม่พูดทื่ออย่างนั้น กับเด็กต้องทำทุกอย่างให้เป็นเกม เพื่อท้าทายสัญชาติญาณของมนุษย์ โดยท้าว่า ใครจะอาสาเอาช้อนตักไข่ไปใส่ถาดฝั่งโน้นโดยระวังไม่ให้ไข่แตกได้บ้าง กติกาคือ ตามือใจเราไปด้วยกัน ตาขาใจเราไปด้วยกัน ตาอยู่ที่ไหน มืออยู่ที่ไหน ขาอยู่ที่ไหน ใจอยู่ที่นั้น ผลก็คือ แทบไม่มีเด็กคนไหนทำไข่แตกเลย
ข. เดินจงกรมบนกระป๋องอะแล็คต้า ผู้ปกครองได้นำของใช้แล้ว มาบริจาคเพื่อให้โรงเรียนนำมาทำกิจกรรมมากมาย ฉันเลยเอากระป๋องนมต่างขนาดมาวางเรียงกันให้เด็ก ๆ เดินจงกรมบนนั้น กติกาก็เหมือนเคย เท้าอยู่ตรงไหน ใจอยู่ตรงนั้น วิธีวัดผลคือ หากเด็กหรือมนุษย์ผู้ใดเอาใจไว้ในกายได้สำเร็จ เขาจะไม่พูดเลย ดังนั้น ฉันจึงวัดผลกิจกรรมจากความเงียบ
ที่จริงมีกิจกรรม ทำนองนี้มากมาย หรือแม้แต่กิจกรรมที่ฉันเรียกว่า ดีดนิ้วเปาะ ลองทำเล่นไป
อ่านเรื่องไปสิคะ
ดีดนิ้วหนแรก ผ่านไปแล้ว ดีดนิ้วใหม่อีกหน ชัดเลย
ว่านี่เป็นครั้งใหม่ และนี่คือเหตุผลที่ฉันสอนลูกให้คิดดีทุกขณะจิต พยายามรู้สึกตัวอยู่ทุกขณะจิต (แม่ยังทำไม่ได้เลยลูกเอ๊ย
)
๑๐.รายละเอียดปลีกย่อย เป็นรายการนินทาผสมห่วงใย กลัวจะมีผู้ดำเนินการสอนประเภท พุทธจ๋า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าคนเห่อศาสนา ที่ยกตนข่มท่าน และอีโก้ซ้อนอีโก้ ชนิดนวลเนียนตลอดเวลา ขนาดมี นักปฏิบัติคนหนึ่งถามฉันแปลก ๆ ว่า ทำไมต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานกับพระพม่ามิทราบ?
ฉันหัวเราะด้วยอีโก้เช่นกัน ทำไมต้องพม่าหรือไทย ท่านลืมแล้วหรือไรว่า พระพุทธเจ้าของเราก็เป็นคนอินเดีย
เรื่องนิทานว่าร้าย เสียดสี มีเพียบแทรกได้ตลอดเวลา ของถนัดอยู่แล้ว!!!
ฉันรู้แล้วแหละว่า พระพุทธเจ้าสอน เรื่องของเรา จริง ๆ การไปพูดครั้งนี้ก็เป็นเรื่องของฉันแต่เพียงผู้เดียว และฉันเชื่อแล้วว่าในขณะที่เราไม่ได้คิดอะไร คุรุจะมาปรากฏ เหมือนช่วงเตรียมตัวไปพูด คือช่วงที่ฉันสนุกทว่าสงบรำงับ ทบทวนและใคร่ครวญที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิตโดยแท้.
|